นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) คาดว่า จะสามารถกู้เงินจาก พ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท ก้อนแรกภายในสิ้นปี 2564 ที่จำนวน 1 แสนล้านบาท โดยประเมินว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในปี 64-65 ให้ขยายตัวเฉลี่ยได้ไม่ต่ำกว่า 0.75% หรือช่วง 2 ปี ที่ 1.5% ส่งผลให้หนี้สาธารณะต่อ GDP ณ สิ้นเดือน ก.ย.2564 เมื่อรวมเงินกู้เดิม 1 ล้านล้านบาท ยอดหนี้จะอยู่ที่ 58.56% ต่อ GDP ซึ่งยังต่ำกว่ากรอบวินัยทางการคลังที่กำหนดไว้ที่ 60% ต่อ GDP
ทั้งนี้ คาดว่าเมื่อกู้ครบ 5 แสนล้านบาท จะส่งผลให้สิ้นปีงบประมาณ 2565 หนี้สาธารณะต่อ GDP อยู่ใกล้เคียงหรือแตะที่ 60% ต่อ GDP ซึ่งขณะนี้ ทีมงาน สบน.อยู่ระหว่างทบทวนแผนก่อหนี้สาธารณะ ซึ่งมีบางหน่วยงานจองวงเงินก่อหนี้ไว้ แต่ไม่สามารถดำเนินการได้ ทำให้หนี้เพิ่มกว่าความเป็นจริง ซึ่งเมื่อปรับปรุงแผนทั้งหมดแล้ว ก็จะทราบว่าสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP จะเป็นเท่าใด โดยหลังจากนี้ หน่วยงานที่จองวงเงินไว้ แต่ไม่ได้ดำเนินการ สบน.ก็จะเข้มงวด ไม่ให้มีการจองวงเงินก่อหนี้อีก
นางแพตริเซีย กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ได้มีการกู้เงินแต่อย่างใด เนื่อง จาก พ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท เพิ่งประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา และมีผลบังคับใช้ ซึ่ง สบน.จะทยอยกู้ตามความจำเป็นเท่านั้น เช่นเดียวกับ พ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท และใช้เครื่องมือในการกู้ต่างกัน ในส่วนของพันธบัตรรัฐบาลก็จะดูแลไม่ให้ล้นตลาด โดยยืนยันว่า การบริหารหนี้สาธารณะทำด้วยความรอบคอบ ในภาวะวิกฤต การกู้เงินเป็นสิ่งจำเป็นสูงสุดในการดูแลเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับที่หลายประเทศดำเนินการอยู่
"การกู้เงินเพิ่มอีก 5 แสนล้านบาท ยังบริหารจัดการได้ตามกรอบวินัยการคลัง สัดส่วนหนี้อาจจะใกล้ ๆ 60% ต่อ GDP บ้าง หรือเลยไปบ้าง แต่ถ้าบริหารจัดการได้ เศรษฐกิจดี ตัวเลขหนี้ก็กลับลงมา ขณะที่บริษัทจัดอันดับ ก็ยังคงความน่าเชื่อถือประเทศไทย สะท้อนว่าเรายังรักษาวินัยการคลังได้รอบคอบ รัดกุม" ผู้อำนวยการ สบน.ระบุ
พร้อมยืนยันว่า การออก พ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท เป็นการตรากฎหมายตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 172 และดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องทุกประการ ส่วนการปรับลดวงเงินกู้จาก 7 แสนล้านบาท เหลือ 5 แสนล้านบาท เนื่องจากเดิมที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบกรอบการกู้เงินไว้ที่ 7 แสนล้านบาทนั้น แต่เมื่อพิจารณาตามความจำเป็นแล้วเห็นว่า 5 แสนล้านบาท เป็นตัวเลขที่เหมาะสม จึงกู้เพียง 5 แสนล้านบาท ไม่ใช่เหตุที่กังวลว่าจะก่อหนี้ทะลุ 60% ของ GDP
"ตอนนี้เหลือตัวเลขกู้ 5 แสนล้านบาท จากกรอบเดิมที่ 7 แสนล้านบาท ขอให้ลืมตัวเลข 7 แสนล้านบาทไปได้เลย ไม่ได้หมายความว่ายังเหลือกรอบให้กู้อีก 2 แสนล้านบาท คลังจะกู้เฉพาะที่กฎหมายเห็นชอบ 5 แสนล้านบาทเท่านั้น" นางแพตริเซียระบุ
โดยภายในปีนี้ จะมีการประชุมคณะกรรมการวินัยการคลัง เพื่อพิจารณากรอบการก่อหนี้ที่ปัจจุบันกำหนดไว้ที่ 60% ต่อ GDP ซึ่งในปี 2564 จะครบรอบ 3 ปีที่จะต้องกลับมาทบทวน ดังนั้นจะมาพิจารณาว่าจำเป็นต้องมีการขยายกรอบดังกล่าวหรือไม่
"ต้องพิจารณาความต้องการใช้เงินของรัฐในระยะปานกลาง หากต้องการใช้เงินกู้ก็สามารถปรับได้ แต่หากเห็นว่าแนวโน้มเศรษฐกิจจะขยายตัว ก็อาจจะไม่ปรับก็ได้" ผู้อำนวยการ สบน.กล่าว