นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาส ผู้อำนวยการส่วนวิเคราะห์นโยบายเศรษฐกิจมหภาค สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.)กล่าวว่า สศค.จะทบทวนประมาณการอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจในปีนี้อีกครั้งในวันที่ 23 พ.ย.นี้ จากเดิมที่คาดว่าเศรษฐกิจจะเติบโตในระดับ 3.8-4.3% เนื่องจากปัจจัยที่มีผลอย่างมากเปลี่ยนแปลงไปอย่างผันผวน ทั้งอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกและราคาน้ำมัน
นอกจากนั้น ยังคาดว่าในการประชุมคณะกรรมการธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ในช่วงวันที่ 30-31 ต.ค.นี้ จะตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25-0.50% เพื่อช่วยลดภาระของผู้กู้ที่มีปัญหาในตลาดซับไพร์ม ซึ่งจะเป็นการแก้ไขปัญหาในระยะสั้น ไม่ได้มุ่งหวังกระตุ้นเศรษฐกิจ
สำหรับประเทศไทยนั้น คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)ที่จะประชุมครั้งต่อไปจะพิจารณาความสมดุลจากปัจจัยเศรษฐกิจภายในและภายนอกว่าควรจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงหรือไม่ เนื่องจากเศรษฐกิจภายในประเทศยังฟื้นตัวไม่ชัดเจนนัก ขณะที่เศรษฐกิจโลกในปีหน้ามีการคาดการณ์ว่าจะชะลอตัวลง
นายเอกนิติ กล่าวว่า ปัญหาราคาน้ำมันผันผวนจะส่งผลต่อเนื่องหลายปี เนื่องจากกำลังการผลิตมีอยู่อย่างจำกัด ขณะที่ความต้องการใช้มีเพิ่มขึ้นตลอด หากจะขยายกำลังการผลิตก็ต้องใช้เวลาในการก่อสร้างหลายปี ล่าสุดประเมินว่าราคาเฉลี่ยน้ำมันดูไบในปี 51 จะอยู่ที่ระดับ 80 ดอลลาร์/บาร์เรล และทุกครั้งที่ราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้น 1 ดอลลาร์ จะส่งผลกระทบต่อจีดีพี 0.2% และกระทบเงินเฟ้อ 0.3%
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไม่ควรเข้าไปแทรกแซงราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศ ควรปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด ขณะเดียวกันก็ควรมีมาตรการช่วยเหลือเศรษฐกิจระดับรากหญ้าเพื่อลดผลกระทบ เช่น การขนส่ง, ประมง โดยการจัดหาน้ำมันราคาถูกกว่าท้องตลาด
สำหรับรัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาหลังการเลือกตั้งจำเป็นต้องพิจารณานโยบายเศรษฐกิจอย่างครบถ้วนรอบด้าน ไม่เน้นในเรื่องใดเรื่องหนึ่งจนเกิดผลกระทบด้านอื่นๆ ตามมาภายหลัง เพื่อให้การแก้ปัญหาเป็นไปอย่างยั่งยืน โดยปัญหาสำคัญ ได้แก่ การบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาคและระบบการเงิน, การเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของเศรษฐกิจไทย และการแก้ปัญหาความยากจนและปัญหาการกระจายรายได้
--อินโฟเควสท์ โดย ธนวัฏ เสือแย้ม/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--