ธนาคารทหารไทยธนชาต (TTB) คาดว่า ในปี 2564 ราคาเหล็กโลกจะเพิ่มขึ้นจากปี 2563 เฉลี่ยกว่า 75% โดยประเมินว่าระดับราคาเหล็กในครึ่งปีแรก จะเป็นระดับราคาสูงสุดในปี 2564 นี้ และในช่วงครึ่งปีหลัง ราคาเหล็กจะมีเสถียรภาพมากขึ้นจากการที่ทางการจีนใช้มาตรการควบคุมราคาเหล็ก เพื่อไม่ให้กระทบผู้บริโภคเหล็กในประเทศ ประกอบกับระดับราคาที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ของโลกในประเทศอินเดีย ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และรัสเซีย ปรับเพิ่มกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น หลังปรับลดกำลังการผลิตลงในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 ในปี 2563 ที่ผ่านมากว่า 10-20%
จากการศึกษาความสัมพันธ์การส่งผ่านราคาเหล็กโลก และการลงทุนภาคเอกชนไปยังราคาเหล็กในประเทศ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาพบว่าการเคลื่อนไหวของราคาเหล็กในประเทศ จะแปรผันไปตามภาวะการลงทุนในประเทศ มากกว่าระดับราคาเหล็กในตลาดโลก โดยการลงทุนในประเทศที่เพิ่มขึ้น 1% จะส่งผ่านไปยังราคาเหล็กในประเทศให้เพิ่มขึ้น 0.48% ในขณะที่ระดับราคาเหล็กทั่วโลกที่ปรับเพิ่มขึ้น 1% จะส่งผ่านไปยังราคาเหล็กในประเทศให้เพิ่มขึ้น 0.13%
ดังนั้น จากแนวโน้มการลงทุนในประเทศที่คาดว่าจะเริ่มทยอยฟื้นตัวในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2564 นี้ หลังจากมีการเร่งฉีดวัคซีน เริ่มส่งผลให้จำนวนผู้ติดเชื้อลดลงและส่งผลให้มีการลงทุนเพิ่มขึ้น ประกอบกับราคาเหล็กทั่วโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงจากการที่จีนเข้ามาควบคุมการเก็งกำไรสต็อกในประเทศ และกลุ่มประเทศผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่มีแรงจูงใจด้านราคาเพิ่มกำลังผลิตเหล็กมากขึ้น จากปัจจัยดังกล่าวข้างต้น ttb analytics คาดว่าจะทำให้ราคาเหล็กในประเทศของไทยปรับเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 18% โดยครึ่งปีแรกปรับเพิ่มขึ้น 25% ในขณะที่ครึ่งปีหลังปรับเพิ่มขึ้น 12%
โดยปัจจัยที่ต้องติดตามคือ การฟื้นตัวของการลงทุนในประเทศ และระดับราคาเหล็กในประเทศจีนเนื่องจากไทยพึ่งพิงการนำเข้าเหล็กจีนถึง 35%ของการนำเข้ารวม โดยธุรกิจที่ได้รับผลกระทบมาก ได้แก่ เครื่องจักรและอุปกรณ์ ผู้รับเหมาก่อสร้าง ยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กโทรนิกส์
ขณะที่ คาดว่าการบริโภคเหล็กสำเร็จรูปในประเทศในปีนี้จะขยายตัว 5-8% จากปี 2563 ที่หดตัว 11.6% จากผลกระทบการระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้การบริโภคเหล็กที่นำไปผลิตเป็นสินค้าสำเร็จรูปลดลง แม้ว่าการบริโภคเหล็กในปี 2564 นี้จะมีการฟื้นตัวดีขึ้นจากอุตสาหกรรมยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อันได้รับผลดีจากการส่งออกที่ดีขึ้น แต่ธุรกิจก่อสร้างที่มีการบริโภคเหล็กถึง 63% ของการบริโภคเหล็กรวมทั้งประเทศ พบว่ายังมีการฟื้นตัวช้า โดยปริมาณการขายปูนซีเมนต์ในไตรมาสแรกของปี 2564 ยังหดตัว 5.9% จากภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ชะลอลง และประเมินว่าผลกระทบจะต่อเนื่องในไตรมาส 2 ถึงต้นไตรมาส 3 เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19
ทั้งนี้ ช่วงกลางไตรมาส 3 เป็นต้นไป ธุรกิจก่อสร้างจะทยอยฟื้นตัว เนื่องจากจะได้รับผลดีจากการกระจายฉีดวัคซีนมากขึ้น การติดเชื้อใหม่ลดลง ในขณะที่ธุรกิจยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ประเมินว่าเป็นธุรกิจที่ฟื้นตัวได้ดีจากภาคการส่งออกที่ดีขึ้นนับตั้งแต่ต้นปี 2564 จากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวในประเทศพัฒนาแล้ว
ttb analytics ทำการศึกษาผลกระทบราคาเหล็กในประเทศที่เพิ่มขึ้น โดยวิเคราะห์จากโครงสร้างต้นทุนเหล็กต่อต้นทุนรวม และอัตรากำไรขั้นต้นจากงบการเงินเฉลี่ยของธุรกิจ โดยเจาะลึกธุรกิจที่บริโภคเหล็กมาก ได้แก่ ภาคก่อสร้าง (63%) ภาคยานยนต์ (17%) เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (9%) และเครื่องจักรและอุปกรณ์ (5%) พบว่า ระดับราคาเหล็กในประเทศที่คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 18%
ในปี 2564 นี้ ธุรกิจที่จะได้รับผลกระทบต่อมาร์จิ้นสูงสุด ได้แก่ เครื่องจักรกลและชิ้นส่วน ยานยนต์และชิ้นส่วน รับเหมาก่อสร้าง เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ โดยมาร์จิ้นของธุรกิจจะลดลง 4.0% , 3.2% , 3.0% และ 2.4% ตามลำดับ เนื่องจากธุรกิจเหล่านี้ พึ่งพิงวัตถุดิบเหล็กมาก แต่ความสามารถในการปรับราคาขายต้องใช้เวลานาน ทำให้อัตรากำไรลดลงจากภาวะต้นทุนเหล็กที่เพิ่มสูงขึ้น และหากแยกผลกระทบรายครึ่งปี พบว่าช่วงครึ่งปีแรกที่ราคาเหล็กในประเทศเพิ่มสูงเฉลี่ย 25% มาร์จิ้นของธุรกิจลดลง 2.3-5.3% และในช่วงครึ่งปีหลังราคาเหล็กเริ่มผ่อนคลาย ทำให้ราคาเหล็กเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 12% ในขณะที่มาร์จิ้นจะลดลง 1.1-2.7%
ดังนั้น ธุรกิจผู้บริโภคเหล็กปลายน้ำที่ได้รับผลกระทบจากการปรับราคาขึ้นของวัตถุดิบทำให้มาร์จิ้นลดลง มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะบริหารจัดการวัตถุดิบสต็อกเหล็กในคงคลังให้สั้นลงและขายให้เร็วขึ้น และหากเป็นไปได้ เมื่อมีการซื้อวัตถุดิบเหล็กในราคาสูงและจำเป็นต้องปรับเพิ่มราคาสินค้าขายเมื่อผลิตเสร็จ ควรทำการเจรจากับผู้ซื้อสินค้าล่วงหน้า เพื่อให้ผู้ซื้อทราบเงื่อนไขเตรียมรับคำสั่งซื้อในราคาที่เพิ่มสูงขึ้น