นางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG) เปิดเผยว่า หลังผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เมื่อ 15 - 16 มิ.ย.ที่ผ่านมาแม้จะไม่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แต่ก็มีถ้อยแถลงต่อเศรษฐกิจที่แม้จะมีความคืบหน้าแต่ยังห่างไกลเป้าหมาย ซึ่งหากความคืบหน้ายังดำเนินต่อไป ก็จำเป็นต้องหารือเกี่ยวกับการปรับลดวงเงินการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในการประชุมครั้งต่อไป
สัญญาณดังกล่าวส่งผลกระทบต่อตลาดทองคำต่อเนื่องจากต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาล่าสุดราคาทองทำปรับลดลงไปทำระดับต่ำสุดที่ 1,804 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ แม้เริ่มมีแรงซื้อกลับ แต่ตราบใดที่ราคาทองยังไม่สามารถกลับขึ้นยืนเหนือ 1,870-1,860 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ราคายังมีแนวโน้มปรับลดลงอีกครั้ง
อย่างไรก็ดีแม้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐจะได้รับผลดีจากถ้อยแถลงของเฟด แต่แนวโน้มดอลลาร์ในระยะยาวยังคงไม่แน่นอนจากความเสี่ยงเรื่องของเงินเฟ้อและปัญหาหนี้สาธารณะที่พุ่งสูงขึ้น ส่งผลให้ราคาทองคำมีโอกาสดีดกลับเป็นระยะ ทำให้ยังมีช่องในการเก็งกำไรระยะสั้น ซึ่งหากทองคำสามารถดีดกลับไปที่แนวต้านแรกบริเวณ 1,830-1,843 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือ 27,200-27,300 บาทต่อบาททองคำ แนะนำให้ขายทำกำไรออกมาก่อน จนกว่าทองคำจะดีดแรงจนผ่าน 1,870-1,860 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ไปได้ทิศทางถึงจะสดใสขึ้น
ส่วนผู้ที่ต้องการซื้อให้รอยังหวะย่อตัวเท่านั้น โดยจับตาบริเวณ 1,804-1,795 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือ 26,700 บาทต่อบาททองคำหากหลุดแนวดังกล่าว แนะนำรอดูการตั้งฐานของราคาแล้วค่อยเข้าซื้ออีกครั้งบริเวณแนวรับถัดไปที่ 1,781-1,767 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือ 26,350-26,150 บาทต่อบาททองคำ
สำหรับแนวโน้มราคาทองคำในระยะยาว วายแอลจียังมองว่าราคาทองคำยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้เป็นระยะ แต่ทิศทางระยะสั้นและระยะกลางกลับมาเป็นลบอีกครั้ง ทำให้นักลงทุนต้องเพิ่มความระมัดระวังในการถือครองทองคำ โดยเน้นลงทุนในระยะสั้นตามกรอบการเคลื่อนไหวของราคา ท่ามกลางปัจจัยพื้นฐานโดยเฉพาะแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟดที่อาจเปลี่ยนจากผ่อนคลายเป็นพิเศษ กลับไปสู่การดำเนินนโยบายการเงินเป็นปกติซึ่งจะสร้างความเสี่ยงด้านต่ำให้กับราคาทองคำ