นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ ได้มีมติรับทราบผลการดำเนินงานของมาตรการช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบการแพร่ระบาดของโควิด-19 ผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) ประกอบด้วย
1. มาตรการพักชำระหนี้ ณ วันที่ 21 มิถุนายน 2564 SFIs ได้ให้ความช่วยเหลือลูกหนี้โดยการพักชำระหนี้ ด้วยการพักชำระเงินต้น และ/หรือ ดอกเบี้ย และ/หรือ ลดอัตราดอกเบี้ย และ/หรือขยายระยะเวลาชำระหนี้แล้ว รวมทั้งสิ้น 7.56 ล้านราย วงเงิน 3.46 ล้านล้านบาท โดยมีลูกหนี้ที่ยังอยู่ในมาตรการ 3.23 ล้านราย วงเงิน 1.26 ล้านล้านบาท แบ่งเป็น ประชาชนทั่วไป 3.21 ล้านราย วงเงิน 1.18 ล้านล้านบาท และธุรกิจ 21,310 ราย วงเงิน 87,948 ล้านบาท
โดยกระทรวงการคลังได้ขอให้ SFIs ขยายระยะเวลาชำระหนี้ให้แก่ลูกหนี้ออกไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 ตามความสมัครใจ และเปิดโอกาสให้ลูกหนี้สามารถทำการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ได้ เพื่อให้สอดคล้องกับความสามารถในการชำระหนี้
2. มาตรการสนับสนุนสินเชื่อ นอกจากมาตรการพักชำระหนี้แล้ว ยังมีมาตรการสนับสนุนสินเชื่อ ผ่านมาตรการสินเชื่อฟื้นฟู และมาตรการพักทรัพย์ พักหนี้ ภายใต้พ.ร.ก.การให้ความช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2564 (พ.ร.ก. ฟื้นฟูฯ) และมาตรการสินเชื่อของ SFIs อีกหลายมาตรการที่ยังมีวงเงินคงเหลืออยู่ เพื่อเสริมสภาพคล่องให้แก่ประชาชนทั่วไป ธุรกิจรายย่อย SMEs โดยครอบคลุมภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เช่น ธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่ม ธุรกิจค้าส่งค้าปลีก ธุรกิจบันเทิง ธุรกิจสปาและนวดแผนไทย ธุรกิจเดินทางและขนส่ง ธุรกิจโรงเรียนเอกชน เป็นต้น รวมถึงธุรกิจอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19
นอกจากนี้ ครม.มีมติให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ระลอกใหม่ เพื่อปรับปรุงหลักเกณฑ์และขยายเวลาการดำเนินมาตรการเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อย่างทั่วถึงและต่อเนื่องมากขึ้น รวมถึงแบ่งเบาภาระในการผ่อนชำระให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ดังนี้
1. ขยายเวลาการดำเนินโครงการสินเชื่อ Extra Cash วงเงิน 10,000 ล้านบาท ของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย สำหรับผู้ประกอบการ SMEs ขนาดย่อมในธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจอื่น ๆ ทั้งบุคคลธรรมดา และนิติบุคคล วงเงินไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อราย ดอกเบี้ย 3% ต่อปี ใน 2 ปีแรก ระยะเวลากู้ 5 ปี โดยขยายระยะเวลารับคำขอสินเชื่อออกไปจนถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2564
2. ปรับปรุงการดำเนินโครงการ Soft Loan ออมสินฟื้นฟูท่องเที่ยวไทย วงเงิน 5,000 ล้านบาทของธนาคารออมสิน สำหรับผู้ประกอบการรายย่อยในธุรกิจท่องเที่ยวและ Supply Chain วงเงินไม่เกิน 500,000 บาทต่อราย ดอกเบี้ย 3.99% ต่อปี โดยขยายระยะเวลากู้จากเดิมไม่เกิน 5 ปี เป็นไม่เกิน 7 ปี ขยายระยะเวลาปลอดชำระเงินต้นจากเดิมสูงสุดไม่เกิน 1 ปี เป็นสูงสุดไม่เกิน 2 ปี และขยายระยะเวลารับคำขอสินเชื่อออกไปจนถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2564
3. ขยายกลุ่มเป้าหมายของโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ "SMEs มีที่ มีเงิน" สำหรับธุรกิจการท่องเที่ยว ของธนาคารออมสิน สำหรับผู้ประกอบการ ที่ใช้หลักประกันเป็นที่ดินและสิ่งปลูกสร้างและไม่ต้องผ่านการตรวจเครดิตบูโร วงเงินสินเชื่อต่อรายสูงสุดไม่เกิน 50 ล้านบาท ดอกเบี้ย 0.1% 0.99% และ 5.99% ต่อปี ระยะเวลากู้ 3 ปี
โดยขยายกลุ่มเป้าหมายให้ครอบคลุมถึงธุรกิจอื่น ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เน้นการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการ SMEs ในภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ เช่น ธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่ม ธุรกิจค้าส่งค้าปลีก ธุรกิจบันเทิง ธุรกิจสปาและนวดแผนไทย ธุรกิจการเดินทางและขนส่ง ธุรกิจโรงเรียนเอกชน เป็นต้น พร้อมทั้งขยายระยะเวลารับคำขอสินเชื่อออกไปจนถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2564
นายอาคม กล่าวว่า กระทรวงการคลังได้ให้ความสำคัญกับการดูแลประชาชน เกษตรกร และผู้ประกอบการให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง ทั่วถึง และเพียงพอ โดยได้มีการติดตามผลการดำเนินมาตรการอยู่เป็นระยะ รวมถึงพิจารณาข้อจำกัดและปัญหาอุปสรรคของการดำเนินมาตรการ รวมทั้งได้ปรับปรุงและออกมาตรการที่เหมาะสมกับสถานการณ์ เพื่อดูแลประชาชนและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบอย่างทันท่วงทีต่อไป