น.ส.ดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เป็นประธาน ได้อนุมัติส่งเสริมโครงการลงทุนขนาดใหญ่มูลค่ารวม 49,911 ล้านบาท ประกอบด้วย กิจการสาธารณูปโภคพื้นฐานและบริการพื้นฐานในกิจการผลิตพลังงานไฟฟ้า หรือพลังงานไฟฟ้าและไอน้ำจากพลังงานอื่นๆ และกิจการสร้างสรรค์ ดังนี้
1.บริษัท หินกองเพาเวอร์ จำกัด กิจการผลิตไฟฟ้าระบบโคเจนเนอเรชัน มูลค่าการลงทุนทั้งสิ้น 32,464 ล้านบาท โครงการผลิตไฟฟ้าขนาด 1,540 เมกะวัตต์ ตั้งอยู่ที่จังหวัดราชบุรี
2.บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ (อ่างทอง) 2 จำกัด กิจการผลิตไฟฟ้าและไอน้ำระบบโคเจนเนอเรชัน มูลค่าการลงทุนทั้งสิ้น 5,300 ล้านบาท มีกำลังการผลิตไฟฟ้าระบบโคเจนเนอเรชัน 145 เมกะวัตต์ ไอน้ำระบบโคเจนเนอเรชัน 30 ตัน/ชั่วโมง ตั้งโครงการอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมเวิลด์ ฟู๊ด วัลเลย์ ไทยแลนด์ จังหวัดอ่างทอง
3.บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ (อ่างทอง) 3 จำกัด กิจการผลิตไฟฟ้าและไอน้ำระบบโคเจนเนอเรชัน มูลค่าการลงทุนทั้งสิ้น 5,200 ล้านบาท มีกำลังการผลิตไฟฟ้าระบบโคเจนเนอเรชัน 145 เมกะวัตต์ ไอน้ำระบบโคเจนเนอเรชัน 30 ตัน/ชั่วโมง และขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อ 13,914 ล้านลูกบาศก์ฟุต/ปี ตั้งโครงการในนิคมอุตสาหกรรมเวิลด์ ฟู๊ด วัลเลย์ ไทยแลนด์ จังหวัดอ่างทอง
4.บริษัท ท็อป เอสพีพี จำกัด กิจการผลิตไฟฟ้าและไอน้ำระบบโคเจนเนอเรชัน มูลค่าการลงทุนทั้งสิ้น 4,350 ล้านบาท โครงการผลิตไฟฟ้าขนาด 120 เมกะวัตต์ และไอน้ำ 294 ตัน/ชั่วโมง ตั้งโครงการที่จังหวัดชลบุรี
5.บริษัท โตโยโบะ อินโดรามา แอดวานซ์ ไฟเบอร์ส จำกัด ผลิตเส้นด้ายที่มีคุณสมบัติพิเศษ ซึ่งเป็นเส้นด้ายสังเคราะห์ความหนาแน่นสูง ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตถุงลมนิรภัยรถยนต์ มูลค่าการลงทุนทั้งสิ้น 2,596 ล้านบาท ตั้งโครงการในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง
"กิจการที่บอร์ดบีโอไออนุมัติส่งเสริมในครั้งนี้เป็นโครงการขนาดใหญ่ด้านกิจการสาธารณูปโภคพื้นฐาน โดยเฉพาะการผลิตพลังงานไฟฟ้า ซึ่งนอกจากจะมีส่วนช่วยสร้างความมั่นคงของระบบไฟฟ้าของประเทศในระยะยาวตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ.2561-2580 แล้ว ยังเป็นการลงทุนด้านอุตสาหกรรมพื้นฐานเพื่อรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าในอนาคตภายหลังจากภาคเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวหลังผ่านพ้นสถานการณ์โควิด-19 อีกด้วย" น.ส.ดวงใจ กล่าว