ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผย ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจเดือนมิถุนายน 2564 อยู่ที่ระดับ 46.5 เพิ่มขึ้นจาก 43.0 ในเดือนพฤษภาคม โดยเป็นการเพิ่มขึ้นในเกือบทุกองค์ประกอบ และเกือบทุกธุรกิจทั้งในภาคการผลิต และภาคที่มิใช่การผลิต ยกเว้นกลุ่มผลิตอาหารและเครื่องดื่ม และกลุ่มผลิตเครื่องจักรและอุปกรณ์ ที่ดัชนีฯ ยังคงลดลงต่อเนื่องจากกำลังซื้อในประเทศที่อ่อนแอ ประกอบกับราคาเหล็กที่ยังอยู่ในระดับสูง และปัญหาขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ที่ยังไม่คลี่คลาย กดดันให้ความเชื่อมั่นด้านต้นทุนของธุรกิจในภาคการผลิตอยู่ในระดับต่ำ
เช่นเดียวกับผู้ประกอบการในกลุ่มขนส่งผู้โดยสาร ที่ความเชื่อมั่นลดลงต่อเนื่องและอยู่ในระดับต่ำ ตามความกังวลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดยืดเยื้อและมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น ทั้งนี้ ดัชนีฯ โดยรวมยังอยู่ต่ำกว่า 50 สะท้อนความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการส่วนใหญ่ที่ใกล้เคียงกับเดือนก่อน
ในอีก 3 เดือนข้างหน้า ดัชนีฯ อยู่ที่ 49.6 ทรงตัวต่ำกว่าระดับ 50 ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 จากกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ก่อสร้าง รวมถึงกลุ่มโรงแรมและร้านอาหาร ที่ดัชนีฯ ยังอยู่ต่ำกว่าระดับ 50 อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี สะท้อนว่าผู้ประกอบการกลุ่มนี้ คาดว่าธุรกิจจะยังคงแย่ลงเมื่อเทียบกับปัจจุบัน
ขณะที่ในภาคการผลิต แม้ว่าธุรกิจส่วนใหญ่ยังมีความเชื่อมั่นที่ดีขึ้น สะท้อนจากดัชนีฯ โดยรวมที่ยังมากกว่า 50 แต่ดัชนีฯ ปรับลดลงเล็กน้อย จากความเชื่อมั่นด้านต้นทุนที่ลดลงต่อเนื่องมาอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากหลายปัจจัยกดดันให้ต้นทุนการผลิตอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องในระยะถัดไป อาทิ ปัญหาขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ ราคาเหล็ก และราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูง
ในเดือนนี้เป็นครั้งแรกที่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มองว่าต้นทุนการผลิตสูงเป็นข้อจำกัดอันดับที่หนึ่ง จากทั้งราคาเหล็กในตลาดโลกที่ยังอยู่ในระดับสูง ราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และต้นทุนด้านสาธารณสุขที่สูงขึ้นเพื่อควบคุม การแพร่ระบาด ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ในอีก 12 เดือนข้างหน้าปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาอยู่ที่ 1.8%