นายสุรชัย สุทธิธรรม นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ เปิดเผยว่า สมาคมฯได้ประกาศขึ้นราคาหมูเป็นหน้าฟาร์มกิโลกรัมละ 3 บาททุกภูมิภาค เนื่องจากเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรต้องประสบปัญหาขาดทุนติดต่อมากันมานานกว่า 7 เดือน จากปัญหาวัตถุดิบอาหารสัตว์มีราคาสูงขึ้นมาก ทั้งกากถั่วเหลืองและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ โดยราคาที่ปรับสูงขึ้นดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการเลี้ยงสุกรถึง 7.03% และยังมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
"เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรต้องแบกรับภาระขาดทุนมามากกว่า 7 เดือนแล้ว โดยราคาสุกรขุนน้ำหนัก 100 กิโลกรัม เฉลี่ยย้อนหลัง 10 เดือน สามารถขายได้เพียง 3,757 บาท ขณะที่มีต้นทุนอยู่ที่ 4,491 บาท ทำให้ผู้เลี้ยงขาดทุนเฉลี่ยตัวละ 734 บาทต่อเนื่องกันมาตั้งแต่ต้นปี ซึ่งการประกาศขึ้นราคาหน้าฟาร์มกิโลกรัมละ 3 บาทนี้ เกษตรกรก็ยังขาดทุนอยู่" นายสุรชัย กล่าว
พร้อมกันนี้ สมาคมฯ ได้ยื่นหนังสือถึง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี เพื่อขอความช่วยเหลือผู้เลี้ยงหมู 4 ข้อ คือ ขอให้รัฐบาลลดภาษีนำเข้ากากถั่วเหลืองเป็นกรณีพิเศษจาก 4% เหลือ 0% เป็นเวลา 2 ปี, ขอให้รัฐออกมาตรการระงับการส่งออกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์โดยเด็ดขาด เพื่อรักษาปริมาณให้เพียงพอต่อการใช้ภายในประเทศ
ขอให้รัฐระงับการนำเข้าเครื่องในหมูเพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภคชาวไทย และขอให้รัฐสนับสนุนการส่งออกเนื้อหมูไปประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อลดปริมาณเนื้อหมูภายในประเทศ ซึ่งจะทำให้ราคาภายในประเทศปรับตัวสูงขึ้นและลดภาระขาดทุนของเกษตรกรได้
นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า ได้ขอให้สมาคมผู้เลี้ยงสุกรชะลอการปรับขึ้นราคาออกไปก่อน โดยวันพรุ่งนี้(26 ต.ค.) จะเรียกสมาคมฯ มาหารือถึงความจำเป็นและเหตุผลในการปรับขึ้นราคา หากเป็นไปได้จะยังไม่ให้ขึ้นราคา แต่จะหาแนวทางอื่นช่วยเหลือ แต่ถ้าจำเป็นต้องปรับขึ้นราคาจริงๆ ก็ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของกรมการค้าภายใน คือ ต้องสมเหตุสมผล และทยอยปรับขึ้นราคาเพื่อไม่ให้ผู้บริโภคได้รับความเดือดร้อน
--อินโฟเควสท์ โดย พณฦ/รัชดา โทร.0-2253-5050 ต่อ 317 อีเมล์: rachada@infoquest.co.th--