บริษํท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ระบุว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)ในการประชุมรอบที่ 7 วันที่ 10 ต.ค.นี้ กนง.มีแนวโน้มที่จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 3.25% เนื่องจากมองว่าในระยะที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยยังสามารถรักษาโมเมนตัมการขยายตัวทางเศรษฐกิจไว้ได้ในระดับที่น่าพอใจ ถึงแม้ว่าจะเผชิญกับปัจจัยลบมากมาย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการเมือง ราคาน้ำมันที่ขยับสูงขึ้น ตลอดจนความผันผวนของทิศทางตลาดเงินตลาดทุนทั่วโลก
แรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจยังคงมาจากภาคการส่งออก ซึ่งในเดือนสิงหาคม 2550 สามารถกลับมาขยายตัวได้ในอัตราสูงถึงร้อยละ 18.4 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน จากที่ขยายตัวร้อยละ 6.6 ในเดือนกรกฎาคม ในขณะเดียวกันการใช้จ่ายภายในประเทศ ทั้งการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนก็มีสัญญาณที่ฟื้นตัวดีขึ้นในเดือนสิงหาคม
ดังนั้น การปรับตัวในทิศทางที่เป็นบวกมากขึ้นของเครื่องชี้เศรษฐกิจสำคัญๆ กอปรกับความคาดหวังว่าการใช้จ่ายภายในประเทศอาจมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นในระยะถัดๆ ไปเมื่อปัญหาการเมืองคลี่คลายลงและประชาชนมีความเชื่อมั่นที่จะใช้จ่ายและลงทุนเพิ่มขึ้น ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่ากนง.อาจมีความจำเป็นน้อยลงที่จะต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในการประชุมวันที่ 10 ตุลาคม เพื่อดูแลเสถียรภาพทางด้านการขยายตัวของเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ แรงกดดันทางด้านเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น อาจทำให้ กนง.เลือกที่จะไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในการประชุมวันที่ 10 ตุลาคม ทั้งนี้เพื่อเป็นการรักษาเสถียรภาพทางด้านราคา ตลอดจนการที่ กนง.อาจจะไม่ต้องการให้ระดับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่แท้จริงปรับตัวลดลงไปจนส่งผลกระทบต่อการออมในระบบด้วย
ส่วนปัญหาสินเชื่อซับไพร์มของสหรัฐฯ แม้ว่าอาจเป็นปัจจัยที่นำมาสู่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่มากกว่าคาดของธนาคารกลางสหรัฐฯในการประชุมวันที่ 18 กันยายนที่ผ่านมา แต่ผลกระทบจากปัจจัยดังกล่าวต่อเศรษฐกิจไทยในขณะนี้ ยังมีจำกัดสะท้อนได้จากการที่ค่าเงินบาทยังคงมีทิศทางที่ค่อนข้างทรงตัว โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ประเด็นปัญหาสินเชื่อซับไพร์มของสหรัฐฯที่จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยในระยะถัดๆ ไป จะปรากฏชัดเจนมากขึ้นในปี 2551
--อินโฟเควสท์ โดย สารภี สายะเวส/รัชดา/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--