นายสมชัย สัจจพงษ์ ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) คาด เศรษฐกิจไทยในปีนี้จะขยายตัวได้ในระดับ 4.5% เพราะเชื่อว่าปัญหาซับไพร์มในสหรัฐฯ จะไม่ส่งผลกระทบมาถึงไทย อีกทั้งสถานการณ์ราคาน้ำมันแม้จะสูงขึ้นแต่ก็ไม่มีผลต่ออัตราเงินเฟ้อมากนัก เนื่องจากขณะนี้อัตรายังอยู่ในระดับต่ำ และหากยังดูแลเรื่องค่าเงินบาทได้ ก็เชื่อว่าจะสามารถรักษาระดับการเติบโตดังกล่าวไว้ได้
ทั้งปีนี้ สศค.ประเมินว่าเงินเฟ้อจะอยู่ในระดับ 2.5% และ 3 เดือนต่อจากนี้อัตราเงินเฟ้อจะไม่เพิ่มเกินไปจากที่ประเมินไว้ แม้ราคาน้ำมันจะมีแนวโน้มปรับสูงขึ้นก็ตาม แต่ยอมรับว่ายังต้องติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิดในปีหน้า
ส่วนการปรับขึ้นค่าโดยสารรถบริการสาธารณะนั้นจะส่งผลให้ต้นทุนในชีวิตประจำวันของประชาชนเพิ่มมากขึ้น แต่เชื่อว่าจะไม่มีผลให้อัตราเงินเฟ้อช่วง 2-3 เดือนจากนี้ปรับสูงขึ้น เพียงแต่ต้องรอดูในปีหน้าว่าจะมีการปรับขึ้นค่าโดยสารอีกมากน้อยเพียงใด
นายสมชัย ยังกล่าวถึงภาวะเงินบาทแข็งค่าที่มีผลต่อการส่งออกของไทยว่า สศค.ประเมินว่าการส่งออกครึ่งปีหลังจะชะลอตัวลงจากครึ่งปีแรกจากสาเหตุของเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นซึ่งไม่ถือเป็นเรื่องผิดปกติ เพียงแต่จำเป็นต้องติดตามไม่ให้การส่งออกขยายตัวน้อยเกินไป เพราะการส่งออกมีส่วนช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในขณะนี้
ขณะที่คาดว่าการนำเข้าในช่วงหลังจากนี้จะเริ่มปรับตัวดีขึ้นและเป็นปัจจัยที่สะท้อนการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้
อย่างไรก็ดี มองว่าภาคการลงทุนจะเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญที่มีผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิของประเทศได้ โดยเฉพาะภายหลังจากที่เห็นความชัดเจนเรื่องการเลือกตั้งในปลายปีนี้แล้ว
ส่วนสถานการณ์เงินทุนไหลเข้านั้น จนถึงขณะนี้ถือว่ามีเงินทุนไหลเข้าประเทศค่อนข้างมาก โดยดูได้จากดุลบัญชีเดินสะพัด และยอดการขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ ถือได้ว่าประเทศไทยยังมีความน่าสนใจในการลงทุน
นายสมชัย ระบุว่า สิ่งที่ภาครัฐจะต้องดำเนินการต่อไป คือการวางแนวทางการบริหารจัดการเงินทุนส่วนเกินเพื่อนำไปลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งระยะต่อไป สศค.จะออกมาตรการที่มีความผ่อนคลายมากขึ้นเพื่อสนับสนุนการนำเงินไปลงทุนในต่างประเทศ
--อินโฟเควสท์ โดย คลฦ/กษมาพร/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--