นายรณดล นุ่มนนท์ รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า มาตรการพักชำระหนี้ในช่วงเวลา 2 เดือน (ก.ค. - ส.ค. 64) ของ ธปท.ที่ร่วมกับสมาคมธนาคารไทย, สมาคมธนาคารนานาชาติ ตลอดจนสมาคมสถาบันการเงินของรัฐ เพื่อให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ ทั้งที่เป็นเจ้าของกิจการ และลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม จากการออกประกาศของทางการเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 นั้น เป็นเพียงมาตรการให้ความช่วยเหลือเฉพาะหน้าให้กับลูกหนี้ ทั้งนายจ้างและลูกจ้างในระยะเร่งด่วน 2 เดือนนี้ ไม่ใช่มาตรการระยะยาว
โดยมองว่า มาตรการให้ความช่วยเหลือในระยะยาวที่ตอบโจทย์นั้น จะต้องช่วยเสริมสร้างรายได้ให้แก่ทั้งผู้ประกอบการ และลูกจ้าง รวมถึงการเน้นไปที่การปรับโครงสร้างหนี้ให้สอดคล้องกับความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ เพราะเชื่อว่าการปรับโครงสร้างหนี้ จะเป็นการแก้ปัญหาให้กับลูกหนี้ในระยะยาวได้อย่างยั่งยืนมากกว่า
"มาตรการที่ ธปท.ทำร่วมกับสมาคมธนาคารต่างๆ นี้ เราทำแค่ 2 เดือน เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเร่งด่วน ไม่ใช่มาตรการระยะยาว การช่วยเหลือระยะยาวจะเน้นไปที่การปรับโครงสร้างหนี้ ดังนั้นลูกหนี้รายใดที่ยังอยู่ในระหว่างการเจรจาปรับโครงสร้างหนี้กับสถาบันการเงิน ก็ยังต้องเดินหน้าต่อไป" นายรณดลกล่าว
นายรณดล กล่าวว่า ธปท.ได้กำชับไปยังสถาบันการเงินด้วยว่า หากเป็นลูกหนี้ในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากมาตรการของทางการนี้ ขอให้สถาบันการเงินพิจารณาให้ความช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว และลดขั้นตอนในการพิจารณาเอกสารต่างๆ ลง
อย่างไรก็ดี หากครบกำหนดระยะเวลาการพักชำระหนี้ 2 เดือนไปแล้ว สถานการณ์ยังไม่ดีขึ้น ก็ยังมีมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อย ระยะ 3 ที่ยังดำเนินการอยู่ ซึ่งลูกหนี้ที่ยังได้รับผลกระทบก็สามารถเข้าไปขอรับความช่วยเหลือได้
ด้านน.ส.สุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายและกำกับสถาบันการเงิน 2 ธปท. กล่าวว่า สำหรับลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากประกาศของทางการดังกล่าว ไม่ว่าจะอยู่ในพื้นที่ควบคุมสูงสุด 10 จังหวัด หรือนอกพื้นที่ควบคุม รวมทั้งลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบไม่ว่าจะเป็นทางตรง หรือทางอ้อม จะต้องเข้าไปลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชั่นของสถาบันการเงินที่จะขอรับความช่วยเหลือ ตั้งแต่วันที่ 19 ก.ค. - 15 ส.ค.นี้
อย่างไรก็ดี การที่สถาบันการเงินพักชำระหนี้ให้เป็นเวลา 2 เดือนในงวด ก.ค. - ส.ค.64 นั้น เป็นการให้ลูกหนี้ไม่ต้องชำระเงินต้น และดอกเบี้ยให้แก่สถาบันการเงินในระยะเวลาดังกล่าว ซึ่งสถาบันการเงินต้องห้ามไปเรียกเก็บเงินต้นและดอกเบี้ยจากลูกหนี้ในเดือนที่ 3 ทันที แต่ให้ทยอยเรียกเก็บ หรือเรียกเก็บในช่วงท้ายของสัญญา
พร้อมยืนยันว่า การพักชำระหนี้ 2 เดือนนี้ จะไม่ถือว่าลูกหนี้มีสถานะผิดนัดชำระหนี้ และไม่เป็นหนี้ค้างชำระในเครดิตบูโรแต่อย่างใด ซึ่งสถาบันการเงินจะไม่สามารถเรียกเก็บดอกเบี้ยในการผิดนัดชำระหนี้ได้ เพราะยังถือว่าเป็นหนี้ดีอยู่
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 15 ก.ค. 64 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สมาคมธนาคารไทย และสมาคมธนาคารนานาชาติ ตระหนักถึงความเดือดร้อนของลูกหนี้และเห็นความจำเป็นเร่งด่วนในการให้ความช่วยเหลือด้านการเงินเพิ่มเติม ให้แก่ลูกจ้างและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบให้ตรงจุดและทันการณ์ จึงเห็นร่วมกันที่จะออกมาตรการเร่งด่วนด้วยการพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยให้แก่ลูกหนี้ SMEs และรายย่อย เป็นระยะเวลา 2 เดือน ให้กับลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง คือ ลูกหนี้ทั้งที่เป็นนายจ้างและลูกจ้างในสถานประกอบการ ทั้งในพื้นที่ควบคุมฯ และนอกพื้นที่ควบคุมฯ ที่ต้องปิดกิจการจากมาตรการของทางการ เริ่มตั้งแต่งวดการชำระหนี้เดือนกรกฎาคม 2564 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ เมื่อหมดระยะเวลาพักชำระหนี้แล้ว สถาบันการเงินจะไม่เรียกเก็บเงินต้นและดอกเบี้ยที่ค้างอยู่ในทันที เพื่อไม่ให้เป็นภาระหนักกับลูกหนี้
สำหรับลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบโดยอ้อม คือ ลูกหนี้ที่ยังเปิดกิจการได้ แต่รายได้ลดลงจากมาตรการควบคุมการระบาดของภาครัฐ สถาบันการเงินจะพิจารณาให้ความช่วยเหลือแก่ลูกหนี้ตามความจำเป็นและสอดคล้องกับสถานการณ์ของลูกหนี้
การให้ความช่วยเหลือตามแนวทางดังกล่าว ลูกหนี้สามารถติดต่อกับสถาบันการเงินเจ้าหนี้ เพื่อแสดงความประสงค์ขอรับความช่วยเหลือได้ตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม 2564 ทั้งนี้ หากลูกหนี้สามารถให้ข้อมูลหลักฐานที่ชัดเจนถึงผลกระทบของกิจการหรือการจ้างงาน จะทำให้การพิจารณาให้ความช่วยเหลือโดยเจ้าหนี้สามารถทำได้อย่างรวดเร็ว
การพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยภายใต้มาตรการนี้ เป็นเพียงการเลื่อนการชำระออกไป ลูกหนี้ที่ยังมีศักยภาพและสามารถชำระหนี้ได้ จึงควรชำระหนี้ต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้ภาระหนี้ในอนาคตเพิ่มขึ้นสูงเกินจำเป็น เช่นเดียวกับลูกหนี้ที่อยู่ระหว่างเจรจาปรับโครงสร้างหนี้กับสถาบันการเงินอยู่ก่อนหน้า ที่ควรดำเนินการต่อเนื่อง เพื่อแก้ไขปัญหาได้ตรงจุดและยั่งยืนกว่า
อนึ่ง การพักชำระหนี้ภายใต้มาตรการนี้ เป็นการให้ความช่วยเหลือขั้นต่ำ สถาบันการเงินสามารถช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบรุนแรงได้มากขึ้นตามความเหมาะสม
ธปท. และทุกสมาคมฯ รวมถึงสมาคมสถาบันการเงินของรัฐ จะร่วมกันเร่งรัดและผลักดันการให้ความช่วยเหลือจากมาตรการพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง รวมทั้ง ธปท. ได้ขอให้ผู้ประกอบธุรกิจที่มิใช่สถาบันการเงิน (nonbank) ให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ไปพร้อมกัน เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบให้ได้มากที่สุด