"ฉลองภพ" เชื่อศก.ไทยปี 51 ยังโตได้ 5%,มาตรการสำรอง 30% ยังจำเป็น

ข่าวเศรษฐกิจ Friday October 26, 2007 14:23 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รมว.คลัง คาดว่า เศรษฐกิจในปีหน้าจะขยายตัวได้ในระดับ 5% โดยมีการลงทุนที่ฟื้นตัวขึ้นเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่ยังต้องติดตามปัจจัยภายนอกประเทศ โดยเฉพาะราคาน้ำมันที่ยังปรับตัวสูงขึ้น รวมทั้งปัญหาซับไพร์มในสหรัฐฯ ที่อาจกระทบต่อการส่งออกของไทย
อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นในขณะนี้ ยังไม่ได้สร้างแรงกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อ ซึ่งเป็นผลจากการดำเนินมาตรการต่าง ๆ ของรัฐบาลที่ทำมาในอดีตทำให้สามารถดูแลอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในเป้าหมาย 0-3.5%ได้ และรับมือกับราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้นได้ดีกว่าประเทศอื่น ๆ โดยอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยยังอยู่ในระดับ 1% กว่า
ส่วนทางการจะมีมาตรการอื่น ๆ มาดูแลอัตราเงินเฟ้อและอัตราแลกเปลี่ยนในระยะนี้หรือไม่ โดยเฉพาะที่มีการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)อาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกครั้งนั้น นายฉลองภพ กล่าวว่า ขึ้นกับสถานการณ์ แต่ขณะนี้มาตรการต่าง ๆ ของไทยสามารถดูแลด้านต่าง ๆ ได้ดีอยู่แล้ว จะเห็นว่าค่าเงินของบางประเทศแข็งค่ามากกว่าเงินบาท
นายฉลองภพ ยังกล่าวว่า ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวขึ้นสูงยังไม่กระทบกับอัตราเงินเฟ้อทั่วโลก อาจเป็นเพราะช่วง 10 ปีที่ผ่านมาธนาคารกลางประเทศต่าง ๆ กันมาดูแลอัตราเงินเฟ้อเป็นหลัก ดังนั้น จึงทำให้รับมือกับราคาน้ำมันได้ดี โดยเป้าหมายของธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกเน้นการดูแลเสถียรภาพด้านราคามากขึ้น
ขณะที่ในด้านการดูแลอัตราแลกเปลี่ยนนั้น รัฐบาลยังไม่มีนโยบายยกเลิกมาตรการสำรอง 30% สำหรับเงินทุนนำเข้าระยะสั้นในระยะนี้ เนื่องจากดอลลาร์ยังมีแนวโน้มอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินยูโรหรือเงินปอนด์สเตอริงค์ ดังนั้น รัฐบาลจึงไม่ควรทำอะไรที่ส่งผลกดดันให้เงินบาทแข็งค่า การดำเนินการใด ๆ ต้องมีความระมัดระวัง
การยกเลิกมาตรการ 30% จำเป็นต้องดูจังหวะเวลาที่เหมาะสมว่าภาวะตลาดเงินเป็นปกติหรือไม่ หากในภาวะปกติค่าเงินไม่มีความผันผวนก็ไม่จำเป็นต้องมีมาตรการใด ๆ แต่ช่วงนี้ไม่ใช่ภาวะปกติ เห็นได้ว่าประเทศต่าง ๆ กำลังประสบปัญหาเงินทุนไหลเข้าเช่นเดียวกัน เช่น อินเดีย ปัญหาเงินทุนไหลเข้าสร้างแรงกดันต่ออัตราแลกเปลี่ยนทุกประเทศ และหากความผันผวนยังมีอยู่จะทำให้ประเทศต่าง ๆ มีแนวโน้มการออกมาตรการมากำกับการไหลเข้า-ออกของเงินมากขึ้น ดังนั้น ไม่ว่าใครจะเข้ามาเป็นรัฐบาลก็จะต้องศึกษามาตรการ 30% ให้ชัดเจน
นายฉลองภพ กล่าวอีกว่า ในช่วงนี้รัฐบาลได้เริ่มชี้แจงนักลงทุนว่ากำลังพยายามผลักดันการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ให้เกิดขึ้น โดยขณะนี้แผนการกู้เงินเพื่อนำมาใช้ก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าบางเส้นทางนั้นยังรอความชัดเจนจากธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น(เจบิก) ซึ่งคาดว่าจะได้รับคำตอบในเร็ว ๆ นี้ แต่ยังมีทางเลือกอื่นร่วมด้วย เช่น การกู้จากธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าของจีน หรือ กู้ภายในประเทศควบคู่กันกับการกู้ต่างประเทศ
ในขณะที่สายสีแดงเส้นตลิ่งชัน-บางซื่อจะใช้เงินกู้ในประเทศทั้งหมด

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ