นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า จะส่งเจ้าหน้าไปเจรจากับทางบมจ.ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ (TF) ผู้ผลิตและจำหน่ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปตรามาม่า หลังจากระบุว่าเตรียมปรับขึ้นราคาขายปลีกซองละ 1 บาท หรือปรับขึ้นจากซองละ 5 บาท เป็น 6 บาท โดยจะขอให้ทางผู้บริหารบริษัทในฐานะเป็นผู้ผลิตสินค้ารายใหญ่ให้ตรึงราคาสินค้าดังกล่าวต่อไปอีกระยะก่อน เพื่อลดผลกระทบต่อผู้บริโภค
อย่างไรก็ตาม หากบริษัทยืนยันว่าไม่สามารถแบกรับภาระต้นทุนดังกล่าวต่อไปได้อีกแล้ว ก็จำเป็นต้องให้ปรับขึ้นราคาจำหน่าย โดยการพิจารณาต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อ และการค้าโดยรวม ขณะเดียวกันต้องคำนึงถึงลักษณะของตัวสินค้าด้วยว่าเป็นรายใหญ่ผู้นำตลาดหรือไม่
นายยรรยง กล่าวว่า หากเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ การปรับขึ้นราคาจะมีผลต่อกระทบจิตวิทยา และการเอาเป็นตัวอย่าง เช่น มาม่า มีส่วนแบ่งตลาด 52% ไวไว 25% ยำยำ 21% ซึ่งมีส่วนแบ่งตลาดรวมกันกว่า 90% หากมีการปรับขึ้นราคาพร้อมกันจะทำให้ประชาชนไม่มีทางเลือก จึงเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ และให้เกิดผลกระทบต่อภาคประชาชนน้อยที่สุด
"แม้บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไม่ได้เป็นสินค้าควบคุม ก็ใช่ว่ารัฐไม่ดูแล บางสินค้าหากปรับขึ้นราคาแล้วส่งผลกระทบต่อประชาชน และภาพรวมก็อาจดึงเป็นสินค้าควบคุมได้ การที่จะเอาอะไรมาเป็นสินค้าควบคุมทำได้ง่ายมาก แต่รัฐก็ไม่อยากใช้อำนาจทางกฎหมาย การขึ้นราคาเราต้องแน่ใจว่า ไม่ใช่เรื่องฉวยโอกาส เราเข้าใจถึงต้นทุนที่เพิ่มขึ้น แต่อยากดูให้รอบคอบว่าบริษัทยังรับได้กับกำไรที่หายไปหรือไม่" นายยรรยง กล่าว
นอกจากนี้ ในสัปดาห์หน้าจะเชิญผู้ประกอบการค้าปลีก และผู้ผลิตสินค้า (ซัพพลายเออร์) ในกลุ่มสินค้าสำคัญประมาณ 100 ราย มาหารือถึงสถานการณ์การค้า และขอความร่วมมือให้ตรึงราคาสินค้า เพื่อลดภาระค่าครองชีพของประชาชนในขณะนี้ และไม่ให้เกิดการฉวยโอกาสปรับขึ้นราคาในช่วงเทศกาลปีใหม่
"ขณะนี้ สินค้าหลายรายการได้ทำเรื่องขอปรับขึ้นราคาสินค้ามายังกรม แต่อยู่ระหว่างการพิจารณาต้นทุน ซึ่งกรมต้องดูแลราคาสินค้าตั้งแต่ต้นทาง (ผู้ผลิต) ถึงปลายทาง (ผู้บริโภค)" นายยรรยง กล่าว
--อินโฟเควสท์ โดย พณฦ/รัชดา/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--