นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า ได้ประชุมร่วมกับนายอัทซึชิ ทาเคทาชิ ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร) เกี่ยวกับการสำรวจแนวโน้มทางเศรษฐกิจของบริษัทร่วมทุนญี่ปุ่นในประเทศไทยที่จัดทำเป็นประจำทุกปี สำหรับผลการสำรวจในครึ่งปีแรกของปี 2564 พบว่า นักลงทุนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ระบุว่า ยังมีความเชื่อมั่นต่อการลงทุนในประเทศไทยมากกว่า 60% ส่วนปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อการขนส่งระหว่างประเทศนั้นมีความเป็นไปได้ว่าจะใช้ชิ้นส่วนจากผู้ผลิตไทยมากขึ้น โดยอาจจะลดการนำเข้า เพราะมีความเสี่ยงเรื่องขนส่ง ดังนั้นจึงเป็นโอกาสของผู้ผลิตในนิคมฯ เพราะมีความสามารถในการผลิตในหลากหลายอุตสาหกรรม ซึ่งหากประเด็นดังกล่าวมีความชัดเจนขึ้น ทาง กนอ.จะได้ช่วยให้ผู้ประกอบการได้มีโอกาสหารือกันเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจต่อไป
"จากการหารือกับเจโทรพบว่านักลงทุนญี่ปุ่นยังคงมีความเชื่อมั่นต่อการลงทุนในไทย ถึงแม้ว่าจะมีผลกระทบจากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 แต่ยังคาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกได้ในช่วงครึ่งปีหลัง แต่ช่วงที่โควิด-19 กลับมาระบาดอีกรอบก็ต้องยอมรับว่าการขนส่งสินค้าจากซัพพลายเออร์ของเขาทำได้ยาก ดังนั้นเขาก็มองว่าถ้าได้พาร์ทเนอร์ชาวไทยที่ผลิตพวกวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนโดยเฉพาะในนิคมฯ ก็จะลดปัญหาเรื่องการขนส่งระหว่างประเทศได้มาก เพราะในนิคมฯ ก็มีผู้ประกอบการในหลายอุตสาหกรรมที่โดดเด่นต่างกัน เราก็พร้อมให้ความสนับสนุนเต็มที่ อาจจะเป็นในรูปแบบการเจรจาระหว่างผู้ผลิตต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำในแต่ละธุรกิจให้ได้มาหารือกัน ซึ่งถ้ามีโอกาสตรงนั้น กนอ.พร้อมช่วยเป็นผู้ประสาน เพื่อให้เกิดการลงทุนและจ้างงานในนิคมฯ เพิ่มขึ้น" นายวีริศ กล่าว
นอกจากนักลงทุนญี่ปุ่นให้ความสนใจในนโยบายเศรษฐกิจชีวภาพ (บีซีจี) โดยผู้ตอบแบบสำรวจกว่าครึ่งระบุว่ายังสนใจสิทธิประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมการลงทุนในเศรษฐกิจบีซีจี โดยเฉพาะในประเด็นพลังงานสีเขียว เช่น ไฟฟ้าหรือไอน้ำจากพลังงานทดแทน ประเด็นผลิตภัณฑ์ประหยัดพลังงาน เช่น ชิ้นส่วนประหยัดพลังงานในรถยนต์ เซลล์แสงอาทิตย์และวัสดุที่เกี่ยวข้อง เซลล์เชื้อเพลิง เครื่องใช้ไฟฟ้าประหยัดพลังงาน เป็นต้น รวมทั้งประเด็น เละการบำบัดหรือกำจัดกากอุตสาหกรรมด้วย
สำหรับภาพรวมการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรม นักลงทุนญี่ปุ่นเป็นกลุ่มที่มีการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมมากเป็นอันดับหนึ่ง คิดเป็น 37.36% รองลงมาคือ นักลงทุนจากจีน 8.16% สหรัฐอเมริกา 6.79% สิงคโปร์ 6.78% และไต้หวัน 4.11% ตามลำดับ ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรม 5 อันดับแรกที่ลงทุนในนิคมอุตสาหกรรม ประกอบด้วย อุตสาหกรรมยานยนต์และการขนส่ง 10.91% รองลงมาคืออุตสาหกรรมเหล็กและผลิตภัณฑ์โลหะ 9.97% อุตสาหกรรมยาง พลาสติก และหนังเทียม 8.3% อุตสาหกรรมเครื่องยนต์ เครื่องจักรและอะไหล่ 7.65% อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องมือวิทยาศาสตร์ 6.6% ตามลำดับ