ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย คาดว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะขยายตัวได้แค่ 4.2% เนื่องจากการบริโภคและการลงทุนขยายตัวต่ำจากผลของเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น และราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่ภาคการค้าระหว่างประเทศเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ ส่วนในปี 51 คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวได้ที่เฉลี่ย 4.6% จากความเชื่อมั่นกลับคืนมาหลังการเลือกตั้ง
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจฯ กล่าวว่า ปัจจัยที่สนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจในปีหน้าจะมาจากการเมืองเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น สร้างความเชื่อมั่นให้กับการบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชนให้ฟื้นตัวขึ้น กลายเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
ขณะที่ปัจจัยลบจะมาจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยคาดว่าราคาเฉลี่ยปีหน้าจะอยู่ที่ 67.50 ดอลลาร์/บาร์เรล สูงกว่าราคาเฉลี่ยปีนี้ซึ่งอยู่ที่ 65.4 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนยังเป็นปัจจัยสำคัญที่น่าจับตามอง โดยคาดว่าเงินบาทจะเฉลี่ยอยู่ที่ 33 บาท/ดอลลาร์ โดยเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นตามสกุลเงินอื่นในเอเชียและตามการอ่อนตัวลงของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ
ส่วนภาวะเศรษฐกิจโลกในปีหน้าคาดว่าจะขยายตัว 4.8% ใกล้เคียงกับปีนี้ที่ขยายตัวได้ 5.2% ส่งผลให้การส่งออกยังขยายตัวได้ 8-10% ซึ่งเป็นระดับที่น่าพอใจ การนำเข้าคาดว่าจะขยายตัว 10-13% ขณะที่แนวโน้มดอกเบี้ยโลกที่คาดว่าจะลดลง 0.5% ทำให้ไทยมีนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยทรงตัวในระดับต่ำช่วงครึ่งแรกของปีหน้า
นายธนวรรธน์ กล่าวด้วยว่า จากการสำรวจสภาพธุรกิจในไตรมาส 4/50 พบว่าผู้ประกอบการยังคงใช้วิธีส่งเสริมการตลาดเพื่อช่วยกระตุ้นการบริโภค เพราะเศรษฐกิจยังอยู่ในภาวะซึมและทุกฝ่ายเชื่อว่าการเลือกตั้งจะช่วยทำให้ยอดขายและเศรษฐกิจดีขึ้น โดยจะเห็นแนวโน้มนี้ชัดเจนในไตรมาสแรกปีหน้า แต่ขึ้นกับรัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาว่ามีเสถียรภาพมากน้อยเพียงใด เพราะหากได้รัฐบาลดีก็จะทำให้สภาพธุรกิจฟื้นตัวดีขึ้น
--อินโฟเควสท์ โดย กษมาพร กิตติสัมพันธ์/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--