นางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG) เปิดเผยว่า สาเหตุที่ราคาทองคำปรับตัวลดลงในสัปดาห์นี้จนหลุดแนวรับสำคัญที่ 1,790 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์นั้น มีสาเหตุมาจากการประกาศตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐที่ออกมาดีกว่าที่คาด อัตราการว่างงานลดลงเหลือ 5.4% ถือว่าเป็นการปรับลดลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ อีกทั้งตัวเลขรายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมงก็ออกมาดีเกินคาดเช่นกัน ตัวเลขการจ้างงานที่ดีนี้จึงอาจเป็นตัวเร่งให้ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) เริ่มลดนโยบายผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ได้ภายในสิ้นปีนี้ รวมถึงอาจจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาด ทำให้ดอลลาร์สหรัฐกลับมาแข็งค่าขณะที่ทองคำปรับลดลงตั้งแต่คืนวันศุกร์ต่อเนื่องมาถึงสัปดาห์นี้
นอกจากนี้การปรับลดลงของทองคำในรอบนี้ยังเป็นการปรับลดลงทางเทคนิค เพราะทองคำหลุดแนวรับสำคัญที่ 1,790 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ลงไปถึง 1,758 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ในวันศุกร์ ก่อนเช้าวันจันทร์จะปรับลดลงไปหลุดอีกหนึ่งแนวรับสำคัญคือ 1,751 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดเมื่อเดือน มิ.ย. ส่งผลให้นักลงทุนจากตลาดโกลด์ฟิวเจอร์สตลาด COMEX เทขายทองคำออกมาเพื่อปิดสถานะซื้อ ทำให้ภาพรวมทองคำระยะสั้นเป็นขาลง
อย่างไรก็ดีในส่วนของคำแนะนำนักลงทุนนั้นสำหรับคนที่ต้องการขายเพื่อลดความเสี่ยง มองว่าสามารถขายได้ที่แนวต้าน 1,751-1,755 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือ 27,700 บาท ซึ่งจุดนี้ถือเป็นแนวต้านระยะสั้นที่สำคัญ เพราะหากทองคำไม่ผ่านแนวต้านนี้อาจจะมีการพักตัวสั้นๆ แต่หากสามารถผ่านได้จะทำให้ทองคำดีดตัวขึ้นต่อโดยมีแนวต้านถัดไปที่ 1,760-1,778 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์
อย่างไรก็ดีหากจะให้ทองคำมีสัญญาณกลับไปเป็นบวกอีกครั้งจะต้องสามารถยืนเหนือ 1,790 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือ 28,300 บาทให้ได้ ส่วนผู้ที่รอซื้อนั้นแนะนำรอซื้อเมื่ออ่อนตัวที่แนวรับ 1,717-1,708 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือ 27,000 บาท หากไม่หลุดแนวรับนี้อาจจะมีโอกาสรีบาวด์ แต่ถ้าหลุดไม่ต้องรีบร้อนในการเข้าซื้อ โดยรอบริเวณแนวรับถัดไปและเป็นแนวรับสำคัญสำคัญบริเวณ 1,676 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือ 26,500 บาท ซึ่งจุดนี้ถือเป็นแนวรับสำคัญเพราะเป็นจุดต่ำสุดของปีนี้ที่เคยปรับลดลงไปเมื่อเดือน มี.ค. หากทองคำหลุดแนวรับนี้ภาพรวมจะกลายเป็นขาลงอย่างชัดเจน