นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.เอเชียพลัส(ASP) คาดว่า ตลาดหุ้นไทยหลังการเลือกตั้งมีโอกาสปรับตัวขึ้นแตะระดับ 1,000 จุด โดยเติบโต 20-25% จากระดับดัชนีปีนี้ โดยจะมีอัตราผลตอบแทนการลงทุนสูงกว่า 10% ขึ้นไป หลังจากมีการเลือกตั้งครั้งใหม่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะช่วยขจัดความอ่อนไหวจากสถานการณ์การเมืองที่กดดันตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมาไปได้
ประกอบกับ หุ้นกว่าครึ่งในตลาดหุ้นไทยเกี่ยวข้องกับสินค้าโภคภัณฑ์ที่ราคาอ้างอิงตลาดโลก จึงไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศมากนัก ตลาดหุ้นจึงน่าจะฟื้นตัวได้เร็ว
นายก้องเกียรติ กล่าวว่า ในปีหน้าตลาดหุ้นเกิดใหม่ ยังจะให้ผลตอบแทนในระดับสูง และมองว่าปีหน้าธนาคารกลาวสหรัฐ(เฟด)ยังมีช่องว่างที่จะลดดอกเบี้ยได้อีกเพื่อแก้ปัญหาซับไพร์ม ก็จะส่งผลให้มีเงินทุนไหลเข้ามาในเอเชียมากขึ้น ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นในเอเชียมีโอกาสขยับสูงขึ้นได้ตามเงินทุนเคลื่อนย้ายและสภาพคล่องที่มีมาก
สำหรับปัญหาซับไพร์มจะยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจสหรัฐต่อไป เห็นได้จากธนาคารและสถาบันการเงินทั่วโลกที่ลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศประเภท CDO ที่เกี่ยวข้องกับซับไพร์มได้รับความเสียหายกว่า 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 7 แสนล้านบาท แต่การตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดครั้งล่าสุดเพื่อแก้ไขปัญหาซับไพร์ม ยังชี้ให้เห็นว่าประธานเฟดสามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี น่าจะทำให้นักลงทุนเกิดความมั่นใจมากขึ้น
ส่วนปีนี้ตลาดหุ้นทั่วโลกขยายตัวราว 30-50% โดยเฉพาะตลาดหุ้นจีนสูงขึ้นจากปีก่อนถึง 200% ตลาดหุ้นไทยเติบโต 20% เนื่องมาจากภาวะเศรษฐกิจของโลกยังเติบโตได้ดี แม้ว่าต้นทุนพลังงานยังอยู่ในระดับสูง แต่รัฐบาลแต่ละประเทศสามารถดูแลจัดการเงินเฟ้อไม่ให้สูงมาก ทำให้อัตราดอกเบี้ยปรับลดลง โดยเฉพาะสหรัฐ
ด้านนายสมภพ มานะรังสรรค์ คณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจส่วนรวม กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยยังมีความไม่แน่นอนสูง โดยเฉพาะปัจจัยทางด้านการเมืองที่ยังเป็นปัจจัยเสี่ยง แม้ว่ากำลังจะมีการเลือกตั้งครั้งใหม่ เนื่องจากขณะนี้ภาพการเมืองยังไม่ชัดเจนว่าพรรคใดจะมีโอกาสเข้ามาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และรัฐบาลจะเป็นรัฐบาลผสมหลายพรรคหรือไม่ เพราะอาจทำให้เกิดความอ่อนแอในการกำหนดนโยบายด้านต่าง ๆ
การที่ผู้ประกอบการภาคเอกชนกำลังเตรียมปรับขึ้นราคาสินค้าหลายร้อยรายการ ทำให้มองเห็นว่าอัตราเงินเฟ้อคงจะไม่ได้มีทิศทางลดลงอีกต่อไปแล้ว จึงคาดว่าโอกาสที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยคงมีน้อยลง รัฐบาลจึงต้องหามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอื่น ๆ มาแทน เช่น เร่งการลงทุนโครงการเมกะโปรเจ็คต์เพื่อเป็นหลักในการกระตุ้นการลงทุน เนื่องจากการลงทุนของเอกชนยังอ่อนแรงในระยะ 2-3 ปีจากนี้
นายสมภพ คาดว่า เศษฐกิจในช่วงปลายปีนี้น่าจะเติบโตได้ในกรอบ 4.0-4.5% เนื่องจากการส่งออกในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีน่าจะขยายตัวได้ดี แต่ปีหน้าอาจจะขยายตัวได้อย่างต่ำที่ 4% ส่วนกรอบขั้นสูงยังไม่สามารถประเมินได้เพราะยังมีความไม่แน่นอน
--อินโฟเควสท์ โดย อตฦ/ศศิธร/รัชดา โทร.0-2253-5050 ต่อ 317 อีเมล์: rachada@infoquest.co.th--