นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) กล่าวว่า ข่าวการจัดหาวัคซีนเพิ่มเติมที่มีความคืบหน้าในระยะนี้ ซึ่งเกิดจากความร่วมมือของทั้งภาครัฐและเอกชน ที่ช่วยให้จำนวนยอดการจัดหาวัคซีนเร็วกว่าแผนเดิมที่ตั้งไว้ในสิ้นปี 64 นั้น ถือว่าเป็นข่าวดีสำหรับประชาชนและธุรกิจในทุกภาคส่วน ช่วยให้คลายความวิตกด้านการจัดหาวัคซีนลงได้ และหนุนความมั่นใจในการเดินแผนทยอยคลายมาตรการควบคุมลง เพื่อให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาเดินหน้าได้มากขึ้น
โดยสิ่งที่ต้องเร่งผลักดันกันต่อไป คือ การเร่งฉีดวัคซีน โดยปัจจุบัน มีผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่สองประมาณ 6.4 ล้านโดส คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 8.9 ของประชากรทั้งหมด ซึ่งยังห่างจากอัตราที่จะสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ที่ประมาณ 40-50 ล้านโดส ขึ้นกับสถานการณ์ของการแพร่ระบาดและการกลายพันธุ์ของไวรัส
"หากทางการสามารถเร่งอัตราการฉีดเข็มที่สองได้ในอัตราไม่น้อยกว่า 3 แสนโดส/วัน จะทำให้เป้าหมายของการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ที่นับจากการฉีดวัคซีนเข็มที่สอง ภายในช่วงปลายปี 64 หรือต้นปี 65 คือภาพที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคเอกชนได้ว่าเศรษฐกิจไทยผ่านพ้นจุดต่ำสุดแล้วจริงๆ"นางสาวขัตติยา กล่าว
ภาพดังกล่าวสำหรับภาคธนาคารพาณิชย์ถือว่ามีความสำคัญมาก ทำให้เห็นว่าจะสามารถทุ่มเททรัพยากรที่มีจำกัดทั้งสภาพคล่องและทุน ในการช่วยเหลือลูกค้าได้อีกมากแค่ไหนเพื่อให้ลูกค้าอยู่ได้จนถึงวันที่จะผ่านช่วงที่แย่ที่สุดและเตรียมเริ่มต้นธุรกิจใหม่อีกครั้ง โดยยังต้องประคองสถานะทางการเงินของระบบธนาคารพาณิชย์ให้เข้มแข็งเหนือเกณฑ์ทางการและไม่ถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ ซึ่งจะต่างจากก่อนหน้านี้ที่ภาพไม่ชัดเจน มีความไม่แน่นอนอยู่มาก ทำให้ต้องเทน้ำหนักไปที่การเตรียมรองรับสถานการณ์ที่มีโอกาสแย่ต่อเนื่องยาวนาน แต่ทั้งนี้ยังคงต้องติดตามสถานการณ์ในช่วงต่อไปว่าความรุนแรงของการแพร่ระบาดจะลดลงอย่างที่คาดหวังมากน้อยเพียงใดด้วย