นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รมว.คลัง กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้ยังขยายตัวได้ในระดับ 4.5% ขณะที่มองว่าปี 51 จะสามารถขยายตัวได้เกินกว่า 5% หากภาวะเศรษฐกิจไม่เลวร้ายไปกว่านี้ แม้ว่าราคาน้ำมันจะปรับเพิ่มสูงขึ้น แต่อัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ และยังเชื่อว่ามาตรการของทางการที่ใช้อยู่สามารถดูแลอัตราเงินเฟ้อในช่วง 6 เดือนข้างหน้าได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้การเตรียมปรับตัวเลขอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ(GDP) ของไทยในเดือน พ.ย.นี้ เป็นเรื่องที่หน่วยงานต่างๆ ต้องคาดการณ์กันตามสมมติฐาน ซึ่งหากราคาน้ำมันยังคงทรงตัวอยู่ในระดับที่ไม่มากขึ้นไปกว่านี้หรือปรับลดลงก็เชื่อว่าจะไม่มีผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศมากนัก
รมว.คลัง คาดว่า ในปีหน้าแรงกระตุ้นเศรษฐกิจจะมาจากภาคการลงทุนเป็นหลักซึ่งจะเข้ามาช่วยทดแทนภาคการส่งออก แต่ทั้งนี้ยังเชื่อว่าภาคการส่งออกปีนี้จะโตได้ 14-15% ซึ่งอาจสูงกว่าเป้าที่คาดไว้ที่ 12.5% ส่วนปีหน้าหากการส่งออกโตได้ถึง 10% ก็จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ขยายตัวเพิ่มขึ้นได้
ส่วนภาวะราคาน้ำมันในขณะนี้ได้ส่งผลกระทบต่อทั้งโลก แต่ในส่วนของไทยที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังอยู่ในระดับต่ำที่ 1% กว่า ทำให้ประเทศไทยมีโอกาสรับมือกับราคาน้ำมันได้ดีกว่าหลายประเทศ แต่สถานการณ์ราคาน้ำมันยังจำเป็นต้องติดตามต่อไปอย่างใกล้ชิด
อย่างไรก็ดี จากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่อาจจะชะลอตัวจากปัญหาซับไพร์มของสหรัฐฯ แต่ยังเชื่อว่าความต้องการใช้น้ำมันจะขยายตัวได้ไม่สูงมากนักซึ่งจะมีผลให้ราคาน้ำมันไม่ปรับสูงขึ้นมากได้
นายฉลองภพ กล่าวว่า จากนโยบายการเงินที่ใช้ในปัจจุบันเชื่อว่ายังสามารถรับมือกับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานให้อยู่ในกรอบที่ 0-3.5% ได้ต่อไปอีก 6 เดือน ซึ่งทำให้ทางการไม่จำเป็นต้องใช้นโยบายการเงินที่ตึงตัวมากนัก และยิ่งภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวเช่นนี้ก็อาจจะทำให้ราคาน้ำมันไม่ปรับสูงขึ้นมาก
สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในขณะนี้อยู่ที่ประมาณ 3% เนื่องจากผลพวงของราคาน้ำมันที่มีผลทำให้ราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้น ดังนั้นทางการโดยเฉพาะกระทรวงพาณิชย์จะต้องเขาไปดูแลไม่ให้มีการฉวยโอกาสปรับขึ้นราคาสินค้าตามราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้น
--อินโฟเควสท์ โดย คลฦ/รัชดา/ธนวัฏ โทร.0-2253-5050 ต่อ 325 อีเมล์: tanawat@infoquest.co.th--