ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลล์อ่อนเทียบยูโร แม้ตัวเลขจ้างงานสหรัฐแกร่ง

          ภาวะการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (2 พ.ย.) ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์แคนาดา ยูโร และปอนด์ เพราะได้รับแรงกดดันจากการที่ธนาคารหลายแห่งของสหรัฐถูกปรับลดอันดับความน่าลงทุน โดยดอลลาร์สหรัฐอ่อนตัวลงแม้ตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรของสหรัฐอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งเกินคาดก็ตาม
          สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ดอลลาร์สหรัฐดิ่งลงแตะระดับ 93.52 เซนต์แคนาดาต่อดอลลาร์สหรัฐ หลังจากร่วงลงแตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 93.20 เซนต์แคนาดาต่อดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันพฤหัสบดีที่ 94.73 เซนต์แคนาดาต่อดอลลาร์สหรัฐ
          นายเดวิด กิลมอร์ นักวิเคราะห์จากฟอเรนจ์ เอ็กซ์เชนจ์ อนาไลติก กล่าวว่า "ดอลลาร์แคนาดาได้รับปัจจัยบวกจากรายงานที่ว่า อัตราว่างงานภายในประเทศประจำเดือนต.ค.อยู่ที่ระดับ 5.8% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.ปีพ.ศ.2517 ขณะที่ดอลลาร์สหรัฐได้รับแรงกดดันจากผลประกอบการที่อ่อนแอของบริษัทเอกชน และการที่ธนาคารหลายแห่งของสหรัฐถูกปรับลดอันดับความน่าลงทุน"
          วาณิชธนกิจมอร์แกน สแตนลีย์ ประกาศลดน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นธนาคารพาณิชย์รายใหญ่และมีทุนจดทะเบียนสูงหลายแห่งในสหรัฐ รวมถึง ซิตี้กรุ๊ป, แบงค์ ออฟ อเมริกา และเวลล์ ฟาร์โก โดยได้ปรับลดลงจากระดับ "attractive" สู่ระดับ "cautious" เนื่องจากความกังวลที่ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นในตลาดปล่อยกู้จำนองให้กับลูกหนี้ที่ขาดความน่าเชื่อถือ (ซับไพรม์) จะส่งผลให้ธุรกิจสินเชื่อผู้บริโภคถดถอยลงด้วย
          นอกจากนี้ ดอลลาร์สหรัฐร่วงลงแตะระดับ 1.4502 ยูโรต่อดอลลาร์ จากระดับ 1.4462 ยูโรต่อดอลลาร์ ขณะที่ค่าเงินปอนด์ทะยานขึ้นแตะระดับ 2.0890 ดอลลาร์ต่อปอนด์ จากระดับ 2.0840 ดอลลาร์ต่อปอนด์
          ดอลลาร์สหรัฐอ่อนตัวลงแม้กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรประจำเดือนต.ค.เพิ่มขึ้น 166,000 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นจำนวนมากที่สุดในรอบ 5 เดือน ขณะที่อัตราการว่างงานยังอยู่ที่ระดับ 4.7% 
          อัตราการจ้างงานของสหรัฐในเดือนต.ค.อยู่ในระดับสูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ที่ 80,000 ตำแหน่งถึงสองเท่า ซึ่งการจ้างงานถือได้ว่าเป็นดัชนีชี้วัดทิศทางเศรษฐกิจได้ดีที่สุดตัวหนึ่ง โดยตำแหน่งงานที่เพิ่มขึ้นในเดือนต.ค.มาจากภาคการบริการ 65,000 ตำแหน่ง ภาคการศึกษาและการดูแลสุขภาพ 43,000 ตำแหน่ง ขณะที่ภาคการโรงแรมและการท่องเที่ยวมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 56,000 ตำแหน่ง และในภาครัฐเพิ่มขึ้น 36,000 ตำแหน่ง