นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิยาลัยหอการค้าไทย คาดว่า เศรษฐกิจไทยปี 51 จะขยายตัวได้ 4.6% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปี 50 ที่ขยายตัว 4.2%
เนื่องจากผลกระทบจากแนวโน้มราคาน้ำมันในปีหน้าที่จะเพิ่มขึ้นอีก 5 เหรียญสหรัฐ จาก 65-68 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เป็น 70-72 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ส่งผลให้ราคาเฉลี่ยน้ำมันขายปลีกในประเทศเพิ่มอีก 2 บาท//ลิตร ทำให้ประชาชนต้องเสียค่าใช่จ่ายในการซื้อน้ำมันเพิ่มขึ้นอีก 50,000 ล้านบาท แทนที่จะนำเงินไปใช้จ่ายอื่นๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น ซื้อสินค้า จึงทำให้เศรษฐกิจขยายตัวลดลง 0.2%
นอกจากนี้ ยังมีปัญหาการส่งออกไทยที่มีแนวโน้มลดลง โดยจะขยายตัวเพียง 8% ในปีหน้า จากปัญหาซับไพรม์ที่อาจทำให้ธนาคารพาณิชย์ไม่ปล่อยเงินสู่ระบบ กระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการค้าของสหรัฐ ยกเว้นธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ลดดอกเบี้ยเงินกู้ 1-2% โดยคาดว่าจะเริ่มลดในเดือนธ.ค.นี้ 0.5% จึงจะทำให้ปัญหาซับไพรม์คลี่คลายได้บางส่วน
"เมื่อเฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ย 1% จะส่งผลให้เงินสหรัฐฯอ่อนตัวลง แต่ทำให้เงินยูโรและบาทแข็งขึ้น ซึ่งอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยในปีหน้าน่าจะอยู่ที่ 32.5 บาทต่อเหรียญสหรัฐ หรืออาจมาที่ง 31 บาทต่อเหรียญสหรัฐในเวลาสั้นๆ จะกระทบต่อการส่งออก อีกทั้งยังเจอปัจจัยภายในจากปัญหาการเลือกตั้งของไทย ที่อาจได้รัฐบาลผสมทำให้ไม่มีเสถียรภาพทางการเมือง ถือเป็นสถานการณ์ที่อยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ" นายธนวรรธน์ กล่าว
จากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ทำให้ไตรมาสแรกปี 51 การส่งออกไทยน่าเป็นห่วงจากปัญหาค่าบาทแข็ง ดังนั้น รัฐบาลต้องเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อกระตุ้นการใช้จ่าย และควรเปิดด่านชายแดนถาวรเพื่อลดอุปสรรคการค้า ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และทำให้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคฟื้นตัวกลับมา ทำให้มีการใช้จ่าย การลงทุน และการจ้างงานเพิ่มขึ้น เศรษฐกิจไทยก็จะฟื้นตัวได้ภายในครึ่งปีหลังของปีหน้า บนพื้นฐานการเมืองนิ่งและมีเสถียรภาพ
--อินโฟเควสท์ โดย พณฦ/รัชดา/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--