นางอัญชนา ตราโช รองเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยว่า หลังจากกระทรวงเกษตรและ สหกรณ์ได้ดำเนินโครงการบริหารจัดการการผลิตสินค้าเกษตรตามแผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุก (Zoning by Agri-Map) เพื่อสนับสนุนบริหารจัดการพื้นที่ไม่เหมาะสม (N) หรือเหมาะสมน้อย (S3) ให้ได้รับการปรับเปลี่ยนการผลิตให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ และ ส่งเสริมสนับสนุน จูงใจ ให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนการผลิตทางการเกษตรในพื้นที่ไม่เหมาะสม (N) ตามความสมัครใจ ซึ่งมีกรมพัฒนาที่ดิน เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักดำเนินโครงการ ฯ จัดทำแผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุก ซึ่งเป็นแผนที่ทางเลือกพืชเศรษฐกิจแสดง ชั้นข้อมูลความเหมาะสมพืชเศรษฐกิจ โดยมีหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หลายหน่วยงานร่วมสนับสนุน ส่งเสริมการดำเนิน งานในพื้นที่ให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนการผลิตให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ อาทิ การถ่ายทอดความรู้ การสนับสนุนปัจจัยการผลิตบางส่วนสำหรับ การปรับเปลี่ยน เช่น พันธุ์ไม้ผล พันธุ์อ้อย เมล็ดพันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ พันธุ์ปลา ปุ๋ย น้ำหมักชีวภาพ อาหารและอุปกรณ์สำหรับเลี้ยงปลา รวมถึงการจัดทำระบบอนุรักษ์ดินและน้ำ และเงินอุดหนุนปัจจัยการผลิตสำหรับปรับเปลี่ยนเป็นพืชอาหารสัตว์
โดย สศก.ได้ประเมินผลการดำเนินโครงการ ซึ่งกำหนดพื้นที่เป้าหมาย 63 จังหวัด พบว่า เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ 17,611 ราย ปรับเปลี่ยนการปลูกข้าวในพื้นที่ไม่เหมาะสม 133,758 ไร่ เป็นการเลี้ยงปลา พืชอาหารสัตว์ เช่น หญ้า ข้าวโพด หม่อน ไหม และพืชเศรษฐกิจอื่น เช่น อ้อยโรงงาน ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ รวมถึงเกษตรผสมผสาน เช่น ผักสวนครัว สมุนไพร ไม้ผล โดยในฤดูการ ผลิต ปี 2563/64 เกษตรกรที่ปรับเปลี่ยนจากการปลูกข้าวเป็นกิจกรรมอื่นข้างต้น โดย 37.53% ได้รับผลผลิตทั้งหมดแล้ว เช่น หญ้า อ้อย โรงงาน และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ส่วน 30.96% ได้ผลผลิตบางส่วน และอีก 31.51% ยังไม่ได้รับผลผลิต เนื่องจากอยู่ในระหว่างรอการ เก็บเกี่ยว หรือเป็นไม้ผลไม้ยืนต้นซึ่งให้ผลตอบแทนในระยะยาว โดยเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ 93% ยังคงผลิตสินค้าที่ปรับเปลี่ยนอย่าง ต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม เกษตรกรที่มีการปรับเปลี่ยนจากการปลูกข้าวนาปีไปทำการเกษตรอื่นๆ จะมีผลตอบแทนสุทธิเพิ่มขึ้น โดย เกษตรกรที่ปลูกพืชเศรษฐกิจอื่น (อ้อยโรงงาน ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์) จะได้ผลตอบแทนมากที่สุด รองลงมาคือ พืชอาหารสัตว์ ซึ่งการปรับ เปลี่ยนไปผลิตสินค้าใดๆ จำเป็นต้องคำนึงถึงสภาพแวดล้อม องค์ความรู้ของเกษตรกร และสภาพภูมิสังคมของพื้นที่นั้นๆ ด้วย
ทั้งนี้ เกิดผลตอบแทนสุทธิในภาพรวมของโครงการ (ไม่รวมไม้ผล ไม้ยืนต้น) คิดเป็นมูลค่า 56 ล้านบาท ซึ่งในปีต่อไป คาด ว่าจะมีพื้นที่ได้รับผลผลิตพืชระยะสั้นเพิ่มขึ้นและมีผลตอบแทนสุทธิ 187 ล้านบาท โดยภาพรวมเกษตรกรมีความพึงพอใจในการเข้าร่วม โครงการในระดับมากที่สุด เนื่องจากมีทางเลือกในการผลิตเพิ่มจากการผลิตข้าวเพียงอย่างเดียว ได้ลองปรับเป็นการผลิตสินค้าอื่นที่ไม่เคย ทำมาก่อน สำหรับเกษตรกรที่ได้รับการจัดทำระบบอนุรักษ์ดินและน้ำ มีความพึงพอใจในการดำเนินงาน เนื่องจากพื้นที่สามารถกักเก็บน้ำได้ มากขึ้น และสามารถใช้น้ำในการทำเกษตรผสมผสานได้เมื่อได้รับผลผลิตแล้วช่วยลดรายจ่ายการบริโภคในครัวเรือนและค่าอาหารสัตว์อีกทั้ง มีรายได้เพิ่ม โดยเกษตรกรต้องการให้มีการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง
ผลตอบแทนที่เกษตรกรได้รับ หลังปรับเปลี่ยนการผลิตสินค้าข้าวในพื้นที่ไม่เหมาะสมตาม Agri-Map
กิจกรรม ผลตอบแทนสุทธิ (บาทต่อไร่) - ประมง 1,165.12 - พืชอาหารสัตว์ 2,328.36 - หม่อนไหม 2,019.87 - พืชเศรษฐกิจอื่น 2,494.53 - เกษตรผสมผสาน 2,058.46