ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) คาดคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.5% ต่อเนื่องตลอดปี 64 และปี 65 เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่เป็นไปอย่างช้าๆ ตามภาคการท่องเที่ยวและแผลเป็นทางเศรษฐกิจที่มีมาก
ทั้งนี้ EIC ประเมินว่า ขนาดของเศรษฐกิจไทยจะไม่กลับไปเท่ากับช่วงก่อนเกิดวิกฤตโควิด-19 ในปี 62 จนกระทั่งช่วงกลางปี 66 ส่วนโอกาสที่ กนง.จะลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมมีน้อยลง จากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาดที่เร็วกว่าคาด และเศรษฐกิจในระยะต่อไปที่จะได้รับผลบวกจากการกระจายวัคซีนที่ปรับดีขึ้น นอกจากนี้ผลโหวตคงดอกเบี้ยนโยบายอย่างเป็นเอกฉันท์ และการสื่อสารของ กนง.ที่ว่ามาตรการด้านการเงินจะมีประสิทธิผลมากกว่าการลดอัตราดอกเบี้ยที่ปัจจุบันอยู่ในระดับต่ำ ทำให้ EIC มองว่า โอกาสลดดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้และปีหน้ามีน้อยลง
"SCB EIC ประเมินว่า ในกรณีฐาน กนง.น่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับต่ำเป็นประวัติการณ์ต่อเนื่องจนถึงสิ้นปี 65 เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดปรับดีขึ้นนับจากการประชุมรอบก่อน โดยคาดว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อจะทยอยปรับลดลงและภาครัฐจะสามารถทยอยผ่อนคลายมาตรการควบคุมได้ในช่วงต้นไตรมาสที่ 4 ปี 64 เป็นต้นไป นอกจากนี้ ผลโหวตคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างเป็นเอกฉันท์ และการสื่อสารของคณะกรรมการฯ ที่ว่า มาตรการด้านการเงินจะมีประสิทธิผลมากกว่าการลดอัตราดอกเบี้ยที่ปัจจุบันอยู่ในระดับต่ำ ทำให้ EIC มองว่า โอกาสในการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้และปีหน้ามีน้อยลงกว่าการประชุมครั้งก่อนค่อนข้างมาก" เอกสารเผยแพร่ ระบุ
ด้านปัจจัยอื่นๆ ที่สนับสนุนการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายคือ การรักษา policy space ไว้ใช้ยามจำเป็นที่เศรษฐกิจไทยกลับมาหดตัว และผลของการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจมีค่อนข้างจำกัด เนื่องจากดอกเบี้ยที่ลดต่ำลงอีกอาจทำให้ประชาชนที่พึ่งพารายรับจากดอกเบี้ยเงินฝากต้องหันมาออมเงินมากขึ้นและลดการใช้จ่ายลง อีกทั้งดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำมากเป็นเวลานานก็เป็นการสะสมความเปราะบางต่อเสถียรภาพการเงินไทยในระยะยาวอีกด้วย
SCB EIC คาดว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะยังให้น้ำหนักกับการเพิ่มประสิทธิภาพการส่งผ่านนโยบายการเงินผ่านการปรับมาตรการทางการเงินต่างๆ โดยเฉพาะในกลไกการลดความเสี่ยงด้านเครดิต เพื่อกระจายสภาพคล่องไปยังภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ SME ให้มากขึ้น การสนับสนุนการปรับโครงสร้างหนี้ของสถาบันการเงิน รวมทั้งพิจารณาเข้าดูแลอัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงินหากเกิดความผันผวนตามภาวะการเงินโลกที่อาจตึงตัวขึ้นในระยะข้างหน้า
ด้านภาวะการเงินไทยในช่วงที่ผ่านมาปรับตึงตัวขึ้นจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยที่ปรับสูงขึ้นตามทิศทางอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และปัจจัยอุปทานพันธบัตรรัฐบาลไทยที่มีออกมามากขึ้น อย่างไรก็ดีเงินบาทที่ปรับอ่อนค่าลงจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้น เงินทุนเคลื่อนย้ายที่ไหลออกจากตลาดการเงินไทย และดุลบัญชีเดินสะพัดไทยที่ขาดดุลต่อเนื่อง ช่วยผ่อนคลายภาวะการเงินไทยลงได้บ้าง
ขณะที่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระยะต่อไปคาดว่าจะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยจะเป็นไปอย่างช้าๆ ตามการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวที่จะฟื้นได้ช้า และแผลเป็นทางเศรษฐกิจไทยที่มีอยู่มาก สะท้อนได้จากอัตราการว่างงานที่สูงขึ้น หนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น และงบดุลของภาคธุรกิจที่เปราะบางลง โดยขนาดของเศรษฐกิจไทยจะไม่กลับไปเท่ากับช่วงก่อนเกิดวิกฤต โควิด-19 ในปี 62 จนกระทั่งช่วงกลางปี 66 นอกจากนี้อัตราเงินเฟ้อของไทยก็มีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง โดยถึงแม้เงินบาทจะอ่อนค่าลงแต่ก็คาดว่าจะไม่ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อไทยเร่งตัวขึ้นมากนัก อีกทั้ง ธปท.ยังสามารถเข้าดูแลเสถียรภาพของเงินบาทในเวลาที่อ่อนค่าลงเร็ว ผ่านการเข้าซื้อสินทรัพย์ต่างประเทศ ทำให้ ธปท.ไม่จำเป็นต้องรีบขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพื่อดูแลเงินบาท
การที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับสูงขึ้น หลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของสหรัฐฯ (FOMC) ในวันที่ 21-22 ก.ย.ที่ผ่านมา EIC คาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ มีแนวโน้มส่งสัญญาณลดการเข้าซื้อสินทรัพย์ทางการเงิน (QE Tapering) อย่างเป็นทางการในการประชุม FOMC เดือน พ.ย.นี้ และจะเริ่มกระบวนการทำ QE Tapering ในเดือน ธ.ค.64 โดยคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะเข้าซื้อสินทรัพย์ทางการเงินลดลง 1.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐต่อเดือน (UST $1 หมื่นล้าน และ MBS $5 พันล้าน) ส่งผลให้กระบวนการ QE Tapering มีแนวโน้มที่จะสิ้นสุดลงในกลางปี 65
ประกอบกับอุปทานพันธบัตรรัฐบาลไทยที่มีมากขึ้น ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยในช่วงที่ผ่านมาปรับสูงขึ้นเร็ว ส่งผลให้ภาวะการเงินไทยตึงตัวขึ้นในช่วงกลางเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ได้ประกาศแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปี 65 โดยรัฐบาลมีแผนจะระดมทุนเป็นวงเงินรวมทั้งสิ้นประมาณ 3.1 ล้านล้านบาท ผ่านการออกพันธบัตรรัฐบาลเพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณก่อน โดยคาดว่าจะมีการออกพันธบัตรรัฐบาลคิดเป็นราว 50% ของการระดมทุนทั้งหมด หลังการประกาศส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลของไทยมีปรับเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้การขยายเพดานหนี้สาธารณะของไทยจาก 60% เป็น 70% ต่อจีดีพี ส่งผลให้ปริมาณอุปทานพันธบัตรรัฐบาลในระยะข้างหน้ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยการขยับเพดานหนี้สาธารณะขึ้นอีก 10% ทำให้รัฐบาลมีช่องทางในการก่อหนี้เพิ่มได้อีกราว 1 ล้านล้านบาท หากสถานการณ์การแพร่ระบาดกลับมารุนแรงขึ้นและทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้ช้ากว่าคาดก็จะกดดันให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลของไทยมีแนวโน้มปรับสูงขึ้นได้อีก
สำหรับเงินบาทปรับอ่อนค่าลงจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้น เงินทุนเคลื่อนย้ายไหลออกจากตลาดการเงินไทย และดุลบัญชีเดินสะพัดไทยที่ยังขาดดุลต่อเนื่อง จึงช่วยผ่อนคลายภาวะการเงินให้แก่ผู้ส่งออกไทยได้ โดยนับตั้งแต่การประชุม FOMC ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐปรับแข็งค่าขึ้นราว 0.7% ประกอบกับในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติขายพันธบัตรรัฐบาลไทยอย่างต่อเนื่อง หลังรัฐบาลประกาศแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปี 652 และขยายเพดานหนี้สาธารณะ กดดันให้เงินบาทปรับอ่อนค่าลง 11.4%YTD สู่ระดับ 33.8 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งนี้สถานการณ์ค่าเงินบาทและเงินทุนเคลื่อนย้ายยังมีความผันผวนในระยะสั้น โดยปัจจัยที่อาจกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้อีกอาจมาจาก 1) ความเสี่ยงที่อาจมีผู้ติดเชื้อระลอกใหม่เกิดขึ้นหลังการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ 2) การทำ QE Tapering ของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในช่วงปลายปีนี้ อาจส่งผลให้เงินทุนเคลื่อนย้ายไหลออกจาก EM รวมถึงไทย แต่มีปัจจัยที่จะทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นได้คือ แนวโน้มการฟื้นตัวดีขึ้นของเศรษฐกิจไทยตามแนวทางการเปิดเมืองหลังมีอัตราการฉีดวัคซีนที่มากขึ้น และการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์สหรัฐจากแนวโน้มการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่อาจชะลอลงจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยืดเยื้อกว่าคาด สวนทางกับภาวะเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง ประกอบกับปัญหาเพดานหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลให้แผนการทำ QE Tapering ของธนาคารกลางสหรัฐฯ ล่าช้ากว่าที่ตลาดคาดการณ์ ด้วยเหตุนี้ EIC จึงมองว่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปี 64 จะอยู่ที่ราว 33.3-33.8 บาท/ดอลลาร์