นายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ. ไทยเบฟเวอเรจ พร้อมด้วยทีมผู้บริหารสูงสุด กลุ่มธุรกิจสุรา กลุ่มธุรกิจเบียร์ กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และกลุ่มธุรกิจอาหาร ตั้งโต๊ะแถลงแผนธุรกิจก้าวข้ามวิกฤตโควิด-19 โชว์ศักยภาพความพร้อมในการขับเคลื่อนองค์กรให้สำเร็จตามวิสัยทัศน์ ประกาศกลยุทธ์ปรับแผนงานเพื่อเผชิญกับทุกโอกาสและความท้าทายเพื่อที่จะก้าวแกร่งขึ้นกว่าเดิม Stronger Together Towards 2025 ก้าวข้ามวิกฤติโควิด-19 ไปพร้อมกับการ "สร้างสรรค์ และแบ่งปันคุณค่าจากการเติบโต" (Creating and Sharing the Value of Growth) เพื่อบรรลุสู่เป้าหมายการเป็นผู้นำธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มครบวงจรที่มั่นคงและยั่งยืนของภูมิภาคอาเซียน (Stable and Sustainable ASEAN Leader) ภายใต้ PASSION 2025
"จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่มีความต่อเนื่องมาเป็นเวลาเกือบ 2 ปี ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต และระบบเศรษฐกิจทั่วโลก ทำให้ทุกธุรกิจต้องมีการตื่นตัวและมีการปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจเพื่อวางแผนรับมือกับวิถีใหม่ในยุค New Normal ไปพร้อมกับการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แม้ว่าเราเองจะได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสที่มีการปิดช่องทางการจัดจำหน่ายที่สำคัญ แต่จากการปรับแผนการดำเนินงาน และการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ทำให้บริษัทมีกำไรเติบโตอย่างแข็งแกร่ง"
สำหรับงวด 9 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.64 กลุ่มไทยเบฟมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคา และค่าใช้จ่ายตัดบัญชี เพิ่มขึ้น 11.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน เป็น 36,638 ล้านบาท และยังคงเป็นบริษัทเครื่องดื่มและอาหารที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน รวมทั้งเป็นบริษัทเดียวในอาเซียนที่ติดอันดับ 1 ใน 10 ของเอเชียในด้านรายได้และมูลค่าทางการตลาด
นายฐาปน กล่าวว่า หลังสถานการณ์โควิด-19 เชื่อว่าพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไป ในฐานะผู้ประกอบการมองว่าคุณภาพสินค้าจะต้องตอบโจทย์หรือความต้องการลูกค้า การให้บริการที่รวดเร็วรวมถึงผู้บริโภคมองว่าธุรกิจมีการตอบแทนสังคมอย่างไร หรือ ESG ที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ดังนั้นบริษัทจึงต้องมีสินค้าใหม่ อาจเป็นสินค้าแบรนด์เดิม แต่อาจเพิ่มรสชาติใหม่ หรือเพิ่มขนาดมากขึ้น หรืออาจต้องเป็นสินค้าที่มีนวัตกรรม (innovation) รวมถึงการปรับรูปแบบการทำการค้า
ในแง่ผู้ประกอบการว่าจะเห็นการแข่งขันรุนแรงอย่างเต็มรูปแบบหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย การจัดโปรโมชั่นหนักก็จะได้เห็น การแข่งขันดุเดือดอย่างแน่นอน เพราะต้องการรายได้เข้ามาเร็วที่สุด แต่ก็จะเห็นว่าใครจะรอดในสถานการณ์เช่นนี้ ทั้งนี้ กลุ่มไทยเบฟได้ปรับการทำธุรกิจในช่วงที่ผ่านมา โดยเป้าหมายกลุ่มอาเซียน
สำหรับแผนนำธุรกิจเบียร์ หรือบริษัท เบียร์โค เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ประเทศสิงคโปร์ ขณะนี้เลื่อนกำหนดการออกไปโดยไม่มีกำหนด หลังจากเลื่อนมาตั้งแต่เดือน พ.ค. 63 และคาดว่าจะเข้าไปได้เดือนมี.ค. 64 แต่เนื่องจากสถานการณ์โรคโควิด-19 ระบาดทำให้เลื่อนออกไป ต้องขึ้นกับจังหวะเวลา และความพร้อมของผู้ลงทุน ขณะที่ปัญหาซัพพลายเชน กลุ่มไทยเบฟไม่ได้รับผลกระทบเพราะซัพพลายเชนอยู่ในประเทศ 95% ขณะที่งบลงทุนของกลุ่มไทยเบฟในช่วงนี้ถึงปี 68 (2025)โอกาสที่จะซื้อกิจการน้อยลง แต่จะหันไปเน้นพัฒนาโรงงานมากกว่า
นอกจากนี้ กลุ่มไทยเบฟ ศึกษาเกี่ยวกับรถไฟฟ้า (EV) จากปัจจุบันกลุ่มมีโลจิสติกส์การขนส่งทางรถ ซึ่งกลุ่มบริษัทไทยเบฟเดินตามกรอบของบริษัท ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเห็นพูดคุยกันในปี 65 และมีกรอบชัดเจนในปี 66 และเริ่มมีการลงทุน โดยคาดว่าจะเห็นรถ EV ได้จริงในปี 68
นายประภากร ทองเทพไพโรจน์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มธุรกิจสุรา รองผู้บริหารสูงสุด การเงินและบัญชีกลุ่ม และผู้บริหารสูงสุดด้านการเงินและบัญชี ธุรกิจต่างประเทศ กล่าวว่า ปีนี้ยังคงเป็นปีที่ท้าทายจากสถานการณ์ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ที่แพร่ระบาดไปทั่วโลกและส่งผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจ โดยกลุ่มธุรกิจสุราในภาพรวมยังคงมีความแข็งแกร่ง เนื่องมาจากความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ซึ่งตอบรับกับการบริโภคที่บ้านมาจากสินค้าหลักของไทยเบฟ คือ รวงข้าว สุราขาวอันดับ 1 ในประเทศไทย และเพื่อตอกย้ำการเป็นสุราสีอันดับ 1 ในปีนี้สุราสีหงส์ทอง ได้ปรับบรรจุภัณฑ์ขนาด 350 มล. และ 700 มล. ให้มีภาพลักษณ์หรูหราและทันสมัยมากขึ้น หากดูจากผลวิจัยการตลาดในรอบ 12 เดือนย้อนหลัง แสงโสมสามารถเติบโตกว่า 13% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
ในส่วนของเบลนด์ 285 ซิกเนเจอร์ สามารถเพิ่มการเติบโตได้ถึง 26% สำหรับเมอริเดียนบรั่นดี ยังสามารถเพิ่มการเติบโตได้ถึง 39% นอกไปจากนั้นคูลอฟ วอดก้า สามารถเติบโตและมีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1 อยู่ที่ 32% ในส่วนของแกรนด์รอยัลกรุ๊ปซึ่งเป็นผู้เล่นรายใหญ่ที่สุดของตลาดวิสกี้ในประเทศเมียนมา ยังคงมีผลประกอบการที่แข็งแกร่งประกอบกับมีเสถียรภาพของกระแสเงินสด
แม้ว่าการระบาดโควิด-19 ตั้งแต่เม.ย. หรือช่วงสงกรานต์ ที่ส่งผลมีการล็อกดาวน์กันอีก ส่งผลยอดขายเบียร์และสุราสีลดลงราว 20% แต่ส่วนสุราขาว ตั้งแต่ต้นปี 64 กลับทรงตัว
นอกจากนี้กลุ่มสุราก็ต้องการขยายตลาดใหม่ ที่มองอยู่ที่เวียดนาม หลังจากที่ไทยเบฟเป็นผู้นำในตลาดไทย และมีส่วนแบ่งตลาดวอดก้ามากขึ้น แต่ส่วนบรั่นดี มีส่วนแบ่งตลาดเพียง 11% เพราะต้องใช้บ่ม ซึ่งปีหน้าจะขยายกำลังการผลิตบรั่นดี ทั้งนี้ ปัจจุบันกลุ่มสุรามีรายได้และกำไรส่วนใหญ่ในไทย สัดส่วน 90-91% เมียนมา 8-9% ที่เหลืออื่นๆ
นายเลสเตอร์ ตัน ผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจเบียร์ (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ปี 2564 เป็นอีกหนึ่งปีที่ "เบียร์ช้าง" ต้องเผชิญกับข้อจำกัดด้านการตลาด แม้ว่าจะต้องประสบกับสถานการณ์ความท้าทายต่าง ๆ ที่ยากจะคาดการณ์ แต่กลุ่มธุรกิจเบียร์ ยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจตามวิสัยทัศน์ที่วางไว้ ส่งผลให้ผลประกอบการเป็นที่น่าพอใจ ท่ามกลางการแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่อง กลุ่มธุรกิจเบียร์ได้ริเริ่มและดำเนินการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ต่างๆ เพื่อให้สามารถดำเนินงานในโรงงานผลิตเบียร์ได้อย่างราบรื่น ซึ่งรวมถึงการรองรับกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนมา ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่บ้านเพิ่มมากขึ้น รวมถึงเพิ่มบริการจัดส่งถึงบ้าน และริเริ่มนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ มาปรับใช้เพื่อให้ธุรกิจสามารถดำเนินไปได้อย่างแข็งแกร่ง
ผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจเบียร์ในประเทศเวียดนามถูกขับเคลื่อนโดยการเพิ่มการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าด้วยการสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่งและมุ่งเน้นการบริหารจัดการต้นทุนการผลิตอย่างคุ้มค่าในประเทศไทย ปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนผลการดำเนินงาน ได้แก่ การบริหารตลาดแบบเจาะรายพื้นที่ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดเรื่อง Transformation และการจัดการทรัพยากรให้ดียิ่งขึ้นเพื่อให้สามารถบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ธุรกิจการส่งออกและกลุ่มตลาดต่างประเทศของกลุ่มธุรกิจเบียร์ ได้มีการยกระดับการขายโดยตั้งเป้าไปที่การขายและการกระจายสินค้าที่แข็งแกร่งพร้อมการบริหารเรื่องต้นทุนอย่างเข้มงวด
ดังนั้น การบริหารทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ การบริหารจัดการที่ดีเยี่ยม รวมถึงการมีทัศนคติต่อการเปลี่ยนแปลงส่งผลให้กลุ่มธุรกิจเบียร์ขับเคลื่อนไปสู่ผลสำเร็จที่น่าพอใจท่ามกลางสภาวะตลาดที่มีความท้าทายและไม่เอื้ออำนวยในปัจจุบัน
สำหรับการก้าวไปข้างหน้า การขับเคลื่อนรายได้ ผลกำไรจากการดำเนินงาน (EBIT) และส่วนแบ่งทางการตลาด ยังคงเป้าหมายสำคัญที่สุดของกลุ่มธุรกิจ และเพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายนั้นๆ เราจะมุ่งเน้นการขยายช่องทางการจัดจำหน่าย การยกระดับพอร์ตสินค้า และความเป็นเลิศด้านการดำเนินงาน
ส่วนของ บริษัท ไซง่อน เบียร์-แอลกอฮอล์-เบฟเวอเรจ คอร์ปอเรชั่น (ซาเบโก้) ปี 2564 ยังคงเป็นปีที่ท้าทายสำหรับซาเบโก้ เนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัส โคโรนา (โควิด-19) ในประเทศเวียดนาม และการปฏิบัติตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมที่เข้มงวดทั้งประเทศ ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิต การทำงาน และการดำเนินธุรกิจ รวมถึงอุตสาหกรรมเบียร์และ ท่ามกลางความท้าทายต่าง ๆ ซาเบโก้ได้ปรับเปลี่ยนวิธีการทำงาน เพื่อให้เกิดความต่อเนื่อง ในการดำเนินธุรกิจ มีการดูแลความปลอดภัย และสวัสดิภาพของตัวแทนขาย ผู้สนับสนุน การขาย รวมถึงพนักงานในโรงเบียร์และฝ่ายผลิต
ส่วนการลงทุนในด้านภาพลักษณ์และการรับรู้ของตราสินค้าที่ผ่านมา บริษัทได้ลงทุนในด้านภาพลักษณ์และการรับรู้ของตราสินค้าผ่านป้ายโฆษณา ป้ายร้านค้า และการเป็นผู้สนับสนุนทางการตลาด บริษัทได้ขยายพื้นที่และเพิ่มป้ายโฆษณาของ Bia Saigon Chill ในสถานที่สำคัญทั่วประเทศ เพื่อโปรโมทผลิตภัณฑ์ที่เพิ่งเปิดตัวใหม่
นายโฆษิต สุขสิงห์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ (ประเทศไทย) ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มบริหารช่องทางการจำหน่าย ผู้บริหารสูงสุดกลุ่มธุรกิจต่อเนื่อง และรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่สายพัฒนาความเป็นเลิศ เปิดเผยว่า ทุกประเทศทั่วโลกรวม ทั้งประเทศไทยยังคงต้องเผชิญหน้าอย่างหนักกับปัญหาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในส่วนของผู้ประกอบธุรกิจ ต่างได้รับผลกระทบไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง สร้างความกดดันและเป็นตัวเร่งให้ทุกภาคส่วนต้องปรับตัว ผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน การทำงาน การจับจ่ายใช้สอย รวมทั้งการท่องเที่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการห้ามบริโภคภายในร้านอาหารเพื่อควบคุมการระบาดของโควิด-19 ส่งผลต่อเนื่องให้กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ต้องปรับเปลี่ยนแนวทางในการบริหารจัดการ รวมถึงการให้บริการกับร้านค้า
ในงวด 9 เดือนของปีงบประมาณ 2564 ธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์มีรายได้จากการขายจานวน 11,688 ล้านบาท ลดลง 6.4% เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากปริมาณขายลดลง 8.6% ธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ยังคงบริหารต้นทุนอย่างระมัดระวังด้วยการลดค่าใช้จ่ายในการโฆษณาและส่งเสริมการขาย ซึ่งมาตรการดังกล่าวนี้ช่วยให้ธุรกิจมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคา และค่าใช้จ่ายตัดบัญชีจานวน 1,629 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 15.2% เมื่อเทียบกับกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษีเงินได้ค่าเสื่อมราคา และค่าใช้จ่ายตัดบัญชีที่ไม่รวมค่าสินไหมทดแทนสำหรับความเสียหายต่อทรัพย์สินจากเหตุเพลิงไหม้สายการผลิตเครื่องดื่มของบริษัทโออิชิในปีก่อน
โดยปรับรูปแบบการขายมุ่งเน้นร้านค้าปลีก ร้านค้าในชุมชนมากยิ่งขึ้น บริษัทหันมามุ่งเน้นการขายที่ช่องทางร้านค้าปลีกมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งร้านค้าปลีกในบริเวณแหล่งชุมชนต่าง ๆ เพื่อให้ผู้บริโภคที่ทำงานที่บ้านสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ของบริษัทในร้านค้าใกล้บ้านได้โดยสะดวก ไม่จำเป็นต้องออกไปนอกพื้นที่ ที่อาจเกิดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย ผสานการทำงานให้รวดเร็ว และคล่องตัวด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเพิ่มประสิทธิภาพการขาย SERMSUK CAMP ช่วยให้พนักงานขายสามารถทำงานผ่านแท็บเล็ต ที่ย่อข้อมูลการขายทั้งหมดที่จำเป็น อยู่เพียงแค่ปลายนิ้ว SERMSUK FAMILY
ทำให้บริษัท สามารถให้บริการร้านค้าได้อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ปริมาณขายในช่องทางร้านค้าปลีกเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ นำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพเพื่อสุขภาพ สร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายให้กับผู้บริโภค บริษัทได้นำเสนอน้ำดื่มคริสตัล น้ำดื่มคุณภาพ ที่เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความจำเป็นสำหรับสุขภาพและการดำรงชีพ ด้วยการทำราคาขายที่ถูกลงให้กับร้านค้า ตลอดจนห้างท้องถิ่นและร้านค้าปลีก และได้นำเสนอเครื่องดื่ม วีบูสท์ วิตามินซี 200% ผสมเบต้ากลูแคน รวมถึงเครื่องดื่มชาเขียวโออิชิ พลัสซี เพื่อเกาะติดเทรนด์เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ เสริมแกร่งทีมงาน เตรียมพร้อมรับมือโลกใหม่ยุค New normal บริษัทได้เตรียมความพร้อมให้ทีมงานและคู่ค้า โดยประสานให้ได้รับการตรวจโควิดและฉีดวัคซีนตลอดจนมีการเพิ่มช่องทางการขายแบบออนไลน์ ตอบรับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป และเตรียมความพร้อมในการให้บริการคู่ค้าสำหรับช่องทางร้านอาหารและโรงเรียนที่จะกลับมาเปิดอีกครั้ง
นางนงนุช บูรณะเศรษฐกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ และผู้บริหารสูงสุดสายธุรกิจอาหาร (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ท่ามกลางสถานการณ์ที่ท้าทายและเปลี่ยนแปลง กลุ่มธุรกิจอาหารมีการปรับตัวตามพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง โดยในปีที่ผ่านมาได้ปรับรูปแบบธุรกิจให้ตอบโจทย์ด้วย 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ (1) Driving Brand Penetration & Accessibility เพื่อเป็นการขยายช่องทางการเพิ่มรายได้ให้ได้มากที่สุด ในปีที่ผ่านมาเรามีการเปิดขยายสาขาอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่อยู่นอกห้าง เพิ่มขึ้น 24 สาขา
ปัจจุบันมีสาขาทั้งหมดรวม 673 สาขา (ณ 30 ก.ย. 2564) 23 แบรนด์ รวมทั้งเปิดรถจำหน่ายอาหารเคลื่อนที่ Food Truck อีกจำนวน 10 คันเพื่อเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น
(2) Driving the Delivery Channel โดยพัฒนาแพลตฟอร์มเดลิเวอรี่ของเราเอง ประกอบกับขยายช่องทางการเข้าถึงผู้บริโภคผ่านพันธมิตรทั้ง Food Aggregator และ E-Marketplace ส่งผลให้ช่องทางเดลิเวอรี่เติบโตขึ้นมากเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (3) Digital & Technology ให้บริการที่สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
สำหรับปี 2565 ท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจ กลุ่มธุรกิจอาหารจะขับเคลื่อนภายใต้กลยุทธ์หลัก อันได้แก่ (1) Drive Brand Penetration & Accessibility ขยายสาขาในรูปแบบที่เหมาะกับสถานการณ์และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึง Food Truck และร้านแบบ To go (2) Grow Off-Premise Channels เสริมแกร่งและขยายช่องทางการขายนอกสถานที่ (3) Digitize Customer Engagement สร้างความผูกพันกับลูกค้าผ่านช่องทางดิจิทัล (4) Innovation นำนวัตกรรมมาสร้างประสบการณ์ใหม่เพิ่มความสะดวกสบาย ความปลอดภัยให้กับลูกค้า และ (5) Sustainability ดำเนินธุรกิจตามแนวคิดด้านความยั่งยืนด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม