นายดามพ์ สุคนธทรัพย์ ประธานกรรมการบริหาร และประธานกรรมการกำหนดกลยุทธ์และนโยบายด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) กล่าวเปิดโครงการแพลตฟอร์มการค้าออนไลน์ "EXIM Thailand Pavilion" บน Alibaba.com ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการค้าออนไลน์ชั้นนำระดับโลกว่า โควิด-19 ได้เร่งการเปลี่ยนแปลงของโลก รวมทั้งสภาพแวดล้อมและพฤติกรรมของผู้บริโภคให้เชื่อมโยงสู่โลกออนไลน์อย่างรวดเร็วแบบก้าวกระโดด และครอบคลุมอย่างกว้างขวางทั่วโลก ทำให้ธุรกิจออนไลน์เติบโตและขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่า มูลค่าการค้าจะสูงถึง 4.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปีนี้ และ 7.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2568 เทียบกับ 3.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2562 และ 4.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2563
EXIM BANK จึงริเริ่มให้มี "EXIM Thailand Pavilion" เป็นแพลตฟอร์มใหม่ของการค้าออนไลน์ที่ผู้ประกอบการไทยสามารถเข้าถึงได้ เป็นการช่วยย่นระยะทางและระยะเวลาการติดต่อธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการไทยกับผู้ซื้อในต่างประเทศ ช่วยสร้างผู้ส่งออกรายใหม่หรือผู้ส่งออกป้ายแดงของไทยได้มากขึ้นกว่าจำนวนที่มีอยู่ในปัจจุบันเพียงไม่ถึง 1% จากจำนวนผู้ประกอบการทั้งประเทศ 3 ล้านราย โดยมี EXIM BANK ให้การสนับสนุนด้านข้อมูลความรู้ เงินทุน ตลอดจนเครื่องมือบริหารความเสี่ยงทางการค้าระหว่างประเทศ เพื่อช่วยให้ผู้ส่งออกรายใหม่สามารถค้าขายในทุกตลาดอย่างมั่นใจ มีความพร้อมด้านสภาพคล่องและได้รับความคุ้มครองกรณีไม่ได้รับชำระเงินค่าสินค้าจากผู้ซื้อในต่างประเทศ โดยเฉพาะคู่ค้ารายใหม่ที่เพิ่งติดต่อและตกลงค้าขายระหว่างกันทางออนไลน์
นายรักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK กล่าวว่า จากจำนวนผู้ส่งออก SMEs ไทยที่มีไม่ถึง 1% ของทั้งระบบ ขณะที่ผู้ส่งออกไทยที่ค้าขายออนไลน์ระหว่างประเทศก็มีจำนวนน้อยมาก เทียบกับประเทศอื่นในอาเซียน อาทิ เวียดนาม มีจำนวนผู้ส่งออก SMEs สูงถึง 10% ของ SMEs ทั้งประเทศเวียดนาม นับเป็นสัดส่วนสูงกว่าไทยถึง 10 เท่า อีกทั้ง 30% ของ SMEs เวียดนามค้าขายออนไลน์ระหว่างประเทศแล้ว จึงเห็นได้ว่าการค้าออนไลน์มีบทบาทสำคัญในการช่วยพยุงเศรษฐกิจให้ยังคงดำเนินต่อไปได้ โดยเฉพาะในวิกฤตโควิด-19
ประกอบกับการเกิดปรากฏการณ์อภิมหาการลาออก (Great Resignation) และคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะประชากร Gen Z วัย 15-21 ปีในปัจจุบัน ต้องการเป็นเจ้าของกิจการ ทำให้การค้าออนไลน์ของโลกในปี 2563 ขยายตัวอย่างรวดเร็วถึง 24% ขณะที่การค้าโลกหดตัว 9% ยอดขายสินค้าฟุ่มเฟือยทางออนไลน์ต่อยอดขายสินค้าฟุ่มเฟือยรวมเพิ่มขึ้นเท่าตัวจาก 12% ในปี 2562 เป็น 23% ในปี 2563 และคาดว่าจะสูงถึง 30% ในปี 2568 จึงเป็นโอกาสที่ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs จะเร่งรุกตลาดส่งออกออนไลน์ซึ่งตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคและการใช้ชีวิตในรูปแบบวิถีใหม่
กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK กล่าวว่า ทั้งนี้ ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs ยังค้าขายออนไลน์ในประเทศเป็นหลัก ทั้งที่ตลาดในประเทศมีข้อจำกัดหลายประการ ทั้งขนาดตลาดที่ไม่ใหญ่ด้วยประชากรเพียง 66 ล้านคน คิดเป็น 10% ของอาเซียนและ 0.9% ของโลก ในมิติขนาดเศรษฐกิจ ไทยมีขนาดเพียง 16% ของอาเซียนหรือ 0.6% ของโลก อีกทั้งยังเริ่มเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ทำให้การจับจ่ายใช้สอยไม่คึกคักเหมือนในอดีต
ในทางกลับกัน ตลาดโลกมีความน่าสนใจกว่ามาก แต่การค้าส่วนใหญ่เกิดขึ้นทางออนไลน์ ซึ่งเติบโตอย่างก้าวกระโดดถึง 24% ขณะที่การค้าโลกหดตัวรุนแรงถึง 9% ในปี 2563 ตัวอย่างเช่น จีน มีมูลค่าตลาดการค้าออนไลน์ 2.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ สหรัฐอเมริกา 9 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ และอินเดีย 6.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ผู้ประกอบการไทยจึงไม่ควรมองข้ามโอกาสในการค้าขายให้แก่ผู้ซื้อในประเทศต่าง ๆ ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ เป็นการกระจายตลาด สร้างโอกาสใหม่ ๆ ทางธุรกิจ และลดการพึ่งพาตลาดในประเทศที่ขยายตัวได้ยาก
EXIM BANK จึงร่วมกับ Alibaba จัดทำโครงการ "EXIM Thailand Pavilion" ขึ้น เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการไทยมีช่องทางนำสินค้าไปขายบนแพลตฟอร์มการค้าระดับโลก ภายใต้บัญชีสมาชิกของ EXIM BANK เมื่อมีผู้ซื้อจากต่างประเทศติดต่อให้ความสนใจสินค้า ระบบจะทำการแจ้งให้ผู้ประกอบการทราบผ่านช่องทาง SMS และ E-mail ทันที โดย EXIM BANK เป็นผู้สนับสนุนค่าสมาชิก พร้อมจัดให้มีทีมงานบริหารร้านค้าและทำการประชาสัมพันธ์ไปยังกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ฟรี 1 ปีเต็ม
นอกจากนี้ EXIM Thailand Pavilion ยังเชื่อมโยงกับเครือข่ายบริษัทจัดจำหน่ายสินค้า (Trading) และผู้ให้บริการคลังสินค้าพร้อมจัดส่ง (Fulfillment) ทั้งในและต่างประเทศ ช่วยยกระดับมาตรฐานสินค้าและบริการของไทยเทียบเท่ามาตรฐานสากลโดยเชื่อมโยงกันภายใต้ Supply Chain ของ E-Commerce โลก
"EXIM Thailand Pavilion เป็นนวัตกรรมใหม่ที่ EXIM BANK ริเริ่มและพัฒนาขึ้น เพื่อสร้างทางรอดให้ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs มีช่องทางขายสินค้าผ่านทางแพลตฟอร์มออนไลน์ระดับโลก Alibaba.com สามารถเข้าถึงผู้ซื้อ (Active Buyers) จำนวนกว่า 26 ล้านราย เน้นการขายส่งระหว่างผู้ผลิตกับธุรกิจต่าง ๆ เฉลี่ยต่อวันมากกว่า 400,000 รายการ ผู้ประกอบการไทยที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับโอกาสเข้าไปอยู่ใน Supply Chain ของ E-Commerce โลก สอดรับกับเมกะเทรนด์ของโลกที่เรียกว่า Next Normal ในระยะถัดไป โดย EXIM BANK จะทำงานร่วมกับพันธมิตรเพื่อเตรียมความพร้อมให้ SMEs ไทยสามารถเริ่มต้นส่งออกครั้งแรกบน EXIM Thailand Pavilion และขยายการส่งออกอย่างต่อเนื่อง โดยตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ ช่วยสร้างรายได้และชื่อเสียงให้แก่สินค้าไทยในเวทีการค้าโลก" นายรักษ์ กล่าว