วาณิชธนกิจมอร์แกน สแตนลีย์ เปิดเผยว่า กำไรไตรมาส 4 ของบริษัทอาจลดลงเนื่องจากบริษัทจำเป็นต้องกันสำรองหนี้สูญเป็นวงเงินมูลค่า 2.5 พันล้านดอลลาร์ หลังจากเกิดวิกฤตการณ์ในตลาดสินเชื่อ ซึ่งทำให้มอร์แกน สแตนลีย์กลายเป็นสถาบันการเงินรายล่าสุดในตลาดวอลล์สตรีทที่ออกมายอมรับว่ามีตัวเลขขาดทุนจำนวนมาก
มอร์แกน สแตนลีย์ ซึ่งเป็นวาณิชธนกิจรายใหญ่อันดับ 2 ของสหรัฐเปิดเผยว่า บริษัทอาจมีตัวเลขขาดทุนสูงถึง 6 พันล้านดอลลาร์หากการลงทุนในตลาดซับไพรม์ย่ำแย่ลงกว่าเดิม โดยนับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา มอร์แกน สแตนลีย์ขาดทุนไปแล้วประมาณ 5.5 พันล้านดอลลาร์ หลังจากขาดทุนในตลาดตราสารที่เกี่ยวข้องกับการปล่อยกู้จำนองในสหรัฐ ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนหลีกเลี่ยงการลงทุนในหลักทรัพย์ที่ถูกระบุว่ามีความเสี่ยงสูงเกินไป
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ซีอีโอของเมอร์ริล ลินช์ และ ซิตี้กรุ๊ป ได้ประกาศลาออก เพื่อแสดงความรับผิดชอบที่ทำให้บริษัทต้องขาดทุนเป็นเงินจำนวนมาก ส่งผลให้นักลงทุนคาดการณ์ว่าอาจมีสถาบันการเงินอีกหลายแห่งที่ขาดทุนจำนวนมาก
"เราคาดว่าอาจต้องใช้เวลาประมาณ 1-2 ไตรมาส ตลาดสินเชื่อจึงจะสามารถกลับสู่ภาวะปกติ" นายโคล์ม เคลเลเฮอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงินของมอร์แกน สแตนลีย์กล่าวในที่ประชุมนักวิเคราะห์
ทั้งนี้ มอร์แกน สแตนลีย์กล่าวว่า ผลกระทบที่จะเห็นในไตรมาสที่ 4 ซึ่งรวมถึงผลประกอบการในเดือนพ.ย.นั้น จะขึ้นอยู่กับว่าตลาดมีความคืบหน้ามากน้อยเพียงใด โดยบริษัทใช้ข้อมูลในตลาดและรวบรวมตัวเลขขาดทุน เพื่อสรุปความเสียหายที่เกิดขึ้นในตลาดซับไพรม์ สำนักข่าวธอมสัน ไฟแนนเชียลรายงาน
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช/สุนิตา โทร.0-2253-5050 ต่อ 315 อีเมล์: sunita@infoquest.co.th--