น.ส.สิริธิดา พนมวัน ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายระบบการชำระเงินและเทคโนโลยีทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า จากในช่วงสถานการณ์โควิดแพร่ระบาด ที่ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่งดการเดินทางออกนอกบ้านนั้น ได้ส่งผลให้การทำธุรกรรมทางการเงินผ่านระบบดิจิทัลเพิ่มสูงขึ้น โดยเห็นได้จากข้อมูลการทำรายการผ่านบัญชีพร้อมเพย์ ที่สูงถึง 28 ล้านรายการ/วัน ซึ่งถือว่าเป็นการเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดจากช่วงก่อนหน้าที่ยังไม่มีการแพร่ระบาดของโควิด ซึ่งเชื่อว่าแนวโน้มหลังสถานการณ์โควิดคลี่คลายแล้ว การทำธุรกรรมทางการเงินจะมีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาไปสู่ระบบดิจิทัลมากขึ้น
"ตอนก่อนมีโควิด ยอดโอนผ่านพร้อมเพย์ยังเป็นแค่หลักเดียว คือไม่ถึงสิบล้านรายการ/วัน แต่หลังจากนั้น ได้เพิ่มขึ้นเป็นสองหลัก คือหลักสิบล้านรายการ/วัน จนปัจจุบันใกล้แตะ 30 ล้านรายการ/วันแล้ว ถือว่าโตแบบก้าวกระโดดมาก เชื่อว่าหลังโควิดไปแล้ว ภาคการเงินจะเปลี่ยนแปลงและพัฒนาไปสู่การเงินดิจิทัลมากขึ้น" น.ส.สิริธิดา กล่าว
ส่วนกรณีที่ช่วงนี้มักพบการกระทำของมิจฉาชีพที่หลอกลวงประชาชนในเรื่องการปล่อยสินเชื่อ หรือให้เงินกู้ผ่านทาง SMS นั้น น.ส.สิริธิดา กล่าวว่า ธปท.ไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยขอแจ้งเตือนประชาชนอย่าเข้าไปคลิกลิงก์ต่างๆ ที่ส่งมาให้ทาง SMS จากบุคคลที่ไม่รู้จัก รวมทั้งขอความร่วมมือไปยังหน่วยงานที่กำกับดูแล ทั้งสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ในการประสานงานกับผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือ เพื่อช่วยกันป้องกันการกระทำของมิจฉาชีพ ขณะเดียวกัน ธปท.ก็ได้ขอให้สถาบันการเงินแจ้งเตือนลูกค้าของธนาคารในเรื่องนี้เช่นกันว่าจะต้องไม่ให้ข้อมูลส่วนตัวกับบุคคลอื่น เพราะตามปกติธนาคารจะไม่ส่ง SMS หาลูกค้าโดยตรงอยู่แล้ว
"ตอนนี้ ก็ต้องดูแลร่วมกันทุกฝ่าย ทั้งเตือนประชาชน และขอให้หน่วยงานที่กำกับดูแลประสานให้ผู้ให้บริการช่วยป้องกันด้วยเช่นกัน ในระยะยาว นอกจากการแจ้งเตือนแล้ว จะต้องมีการให้ความรู้ความเข้าใจมากขึ้นด้วย" น.ส.สิริธิดา ระบุ