นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้อยู่ที่ระดับ 33.87/89 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าจากช่วง เช้าที่เปิดตลาดที่ระดับ 33.82/83 บาท/ดอลลาร์
เงินบาทเย็นนี้อ่อนค่าจากช่วงเช้า แต่ระหว่างวันเงินบาทยังเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบที่ 33.80-33.90 บาท/ดอลลาร์ วันนี้ เงินบาทยังไม่ค่อยมีปัจจัยใหม่มากนัก ขณะที่ตลาดฝั่งสหรัฐปิดทำการเนื่องในวันโคลัมบัส อย่างไรก็ดี มีแนวโน้มที่เงินบาทในสัปดาห์นี้จะอ่อน ค่าไปแตะระดับ 34 บาท/ดอลลาร์ได้
"วันนี้บาทแกว่งแคบๆ เพราะดอลลาร์เองก็เงียบ เนื่องจากเป็นวันหยุด แต่แนวโน้มบาทมีโอกาสแตะ 34 บาท จากบอนด์ยี ลสหรัฐ ไล่ขึ้นมา ตลาดรอดูเรื่องการลด QE ด้วย" นักบริหารเงิน ระบุ
นักบริหารเงิน คาดว่า พรุ่งนี้เงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 33.30-34.00 บาท/ดอลลาร์
- ปัจจัยสำคัญ
- เงินเยนอยู่ที่ระดับ 112.94/98 เยน/ดอลลาร์ จากช่วงเช้าที่ระดับ 112.31 เยน/ดอลลาร์
- เงินยูโรอยู่ที่ระดับ 1.1554/57 ดอลลาร์/ยูโร จากช่วงเช้าที่ระดับ 1.1575 ดอลลาร์/ยูโร
- ดัชนี SET ปิดวันนี้ที่ระดับ 1,633.44 จุด ลดลง 5.97 จุด (-0.36%) มูลค่าการซื้อขาย 82,978.81 ล้านบาท
- สรุปปริมาณการซื้อขายรายกลุ่ม ต่างชาติขายสุทธิ 320.43 ลบ.(SET+MAI)
- เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ในช่วง 9 เดือน (ม.ค.- ก.ย.) ปี 64 มีโครงการ
ยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนจำนวน 1,273 โครงการ เพิ่มขึ้น 23% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 63 คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุนรวม
520,680 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 140% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีมูลค่าสูงกว่าปี 63 ทั้งปี (432,000 ล้านบาท) และสูงกว่า
มูลค่าเฉลี่ยก่อนเกิดโควิดช่วงปี 58 - 62 (483,664 ล้านบาท) โดยคาดว่า มูลค่าลงทุนรวมทั้งปี 64 น่าจะอยู่ 6 แสนล้านบาท
- ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า จากข้อมูล ณ วันที่ 10
ตุลาคม 2564 โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 มีผู้ใช้สิทธิสะสมจำนวน 24.92 ล้านราย จากผู้ได้รับสิทธิรวม 27.55 ล้านราย โดยมียอด
การใช้จ่ายสะสมรวม 87,124.3 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่ายสะสม 44,291.7 ล้านบาท และรัฐร่วมจ่ายสะสม 42,832.6
ล้านบาท ส่วนโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ มีประชาชนผู้ใช้สิทธิจำนวน 80,793 คน จากจำนวนผู้ได้รับสิทธิกว่า 4.7 แสนราย โดยมียอดใช้จ่าย
สะสมรวมทั้งหมด 2,551 ล้านบาท
- ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2564 ดีขึ้นมาอยู่ในกรอบ
0.0 - 1.0% โดยปัจจัยบวกที่ช่วยเสริมให้ภาพรวมเศรษฐกิจปลายปีน่าจะดีขึ้น คือ มาตรการที่รัฐบาลได้ออกมาในช่วงนี้ เช่น โครงการคน
ละ
ครึ่ง เฟส 3 ที่จะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อภายในประเทศ โครงการเราเที่ยวด้วยกัน เฟส 3 ที่ขยายสิทธิเพิ่มอีก 2 ล้านสิทธิ จะเป็นแรงเสริม
ภาคการท่องเที่ยวในช่วง High-Season แต่ยังต้องติดตามสถานการณ์น้ำท่วมและตัวเลขการติดเชื้อหลังผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ไป
อีกระยะ
- กกร.ประเมินเบื้องต้นว่าสถานการณ์น้ำท่วมจะกระทบเศรษฐกิจ ประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท หรือราว 0.1% ของจีดีพี
โดยเป็นความเสียภายในภาคเกษตรกรรม 50% หรือราว 8 พันล้านบาท ซึ่งจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปที่มีต้นทุนเรื่องวัตถุ
ดิบสูงขึ้น
- ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า จากในช่วงสถานการณ์โควิดแพร่ระบาด ที่ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่งดการ
เดินทางออกนอกบ้านนั้น ได้ส่งผลให้การทำธุรกรรมทางการเงินผ่านระบบดิจิทัลเพิ่มสูงขึ้น โดยเห็นได้จากข้อมูลการทำรายการผ่านบัญชี
พร้อมเพย์ ที่สูงถึง 28 ล้านรายการ/วัน ซึ่งถือว่าเป็นการเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดจากช่วงก่อนหน้าที่ยังไม่มีการแพร่ระบาดของโควิด ซึ่ง
เชื่อว่าแนวโน้มหลังสถานการณ์โควิดคลี่คลายแล้ว การทำธุรกรรมทางการเงินจะมีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาไปสู่ระบบดิจิทัลมากขึ้น
- ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เปิดเผยผลการระบุว่า ภาคครัวเรือนญี่ปุ่นคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อในประเทศจะดีดตัวขึ้นใน
ไตรมาส 3 ปีนี้ ซึ่งบ่งชี้ว่าต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกอาจมีผลต่อมุมมองของญี่ปุ่นซึ่งเผชิญกับภาวะเงินฝืดมาเป็นเวลานาน