น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านภาพยนตร์ ระหว่างทบวงกิจการภาพยนตร์แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน และกระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทย ที่จะมีการลงนามในช่วงประมาณต้นปี 2565 ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านภาพยนตร์ของทั้ง 2 ประเทศ
โดยร่างบันทึกความเข้าใจ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดความร่วมมือด้านภาพยนตร์ของทั้ง 2 ฝ่าย ภายในระยะเวลา 5 ปี อาทิ
1. เป็นเจ้าภาพจัดนิทรรศการภาพยนตร์ 1 ครั้ง และส่งคณะผู้แทนภาพยนตร์ไปร่วมกิจกรรม
2. สนับสนุนให้องค์กรภาพยนตร์ และบุคคลของทั้ง 2 ประเทศ แลกเปลี่ยน ร่วมมือ และแบ่งปันข้อมูลอุตสาหกรรมซึ่งกันและกัน
3. สนับสนุนการร่วมผลิตภาพยนตร์ในประเด็นความสนใจร่วมกัน
4. สนับสนุนให้ผู้สร้างภาพยนตร์ และภาพยนตร์ของทั้ง 2 ประเทศ มีส่วนร่วมในเทศกาลภาพยนตร์ที่จัดขึ้น
5. สนับสนุนให้ช่องโทรทัศน์ หรือภาพยนตร์ของทั้ง 2 ประเทศ นำเข้าและออกอากาศภาพยนตร์ของกันและกัน
6. สนับสนุนให้หอภาพยนตร์ของทั้ง 2 ประเทศ ขยายการแลกเปลี่ยนและความร่วมมือด้านข้อมูลภาพและเสียงตามหลักผลประโยชน์ร่วมกัน
7. สนับสนุนให้มีการจัดทำข้อตกลงในการร่วมผลิตภาพยนตร์ระหว่างรัฐบาลของทั้ง 2 ประเทศ
น.ส.รัชดา กล่าวว่า ร่างบันทึกความเข้าใจฉบับนี้ จะส่งผลให้เกิดประโยชน์ในหลายด้าน โดยเฉพาะความร่วมมือในการผลิตภาพยนตร์ระหว่างรัฐบาลทั้ง 2 ประเทศ สนับสนุนการนำเข้าและออกอากาศภาพยนตร์ระหว่างกัน ซึ่งจะส่งผลดีต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจของธุรกิจต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ การใช้สถานที่ถ่ายทำ การเช่าโรงถ่ายทำ การจ้างทีมสตั๊นท์ เป็นต้น
นอกจากนี้ การร่วมลงทุนภาพยนตร์ร่วมกัน จะถือได้ว่าภาพยนตร์ที่ผลิตได้เป็นภาพยนตร์ 2 สัญชาติ จะทำให้ไทยสามารถจัดฉายในประเทศจีนได้โดยไม่ต้องผ่านระบบการกำหนดสัดส่วน (Quota) ภาพยนตร์ต่างประเทศ ซึ่งตลาดภาพยนตร์ในประเทศจีนมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากสหรัฐอเมริกา ในปีพ.ศ. 2562 มีมูลค่าการขายตั๋วอยู่ที่ 64,200 ล้านหยวน หรือประมาณ 337,050 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 5.9% และในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีจำนวนโรงภาพยนตร์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยใน ปีพ.ศ. 2562 มีจำนวนโรงภาพยนตร์ทั้งสิ้น 68,992 โรง ซึ่งถือว่าเป็นประเทศที่มีจำนวนโรงภาพยนตร์มากที่สุดในโลก
"นับเป็นจุดเริ่มต้นของการขยายความร่วมมือ เพื่อเพิ่มมูลค่าของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของทั้ง 2 ประเทศ และความร่วมมือในอุตสาหกรรมออนไลน์และดิจิทัล อีกทั้งจะเป็นการใช้สื่อภาพยนตร์เป็นเครื่องมือด้าน Soft Power เพื่อนำเสนอ ส่งเสริม และประชาสัมพันธ์ สร้างกระแสความนิยมของประเทศไทย เพื่อนำไปสู่ผลประโยชน์ด้านอื่นโดยเฉพาะการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวด้วย" น.ส.รัชดา กล่าว