ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีทีบี (ttb analytics) คาดการณ์ว่าทิศทางเงินบาทยังคงอ่อนค่าต่อในปี 65 ถึงแม้เศรษฐกิจไทยจะมีการฟื้นตัวในด้านท่องเที่ยว แต่ประเด็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ ตามสภาพอัตราเงินเฟ้อ และเศรษฐกิจ ส่งผลให้ดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าต่อเนื่อง โดยคาดเม็ดเงินไหลกลับสหรัฐฯ
"ประเมินกรอบค่าเงินบาทปี 65 ไว้ที่ 33.50-35.00 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งนี้ แนะนำธุรกิจวางแผนรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนที่เพิ่มขึ้น จากการแข็งค่าเงินบาทในระยะสั้น" บทวิเคราะห์ระบุ
สำหรับทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง หลังจากตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาปรับตัวลดลงตั้งแต่เดือนก.ย. ซึ่งข้อมูลทางเศรษฐกิจแสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวด้านการบริโภค และตลาดแรงงาน โดยอัตราการว่างงานของสหรัฐฯ ปรับตัวลงต่ำสุดนับตั้งแต่มีการระบาดของโรคโควิด-19 อยู่ที่ 4.8% อย่างไรก็ตาม สถานการณ์เงินเฟ้อมีแนวโน้มอยู่ระดับสูงในระยะยาว อันเป็นผลจากปัจจัยพื้นฐานด้านพลังงานและต้นทุนวัตถุดิบ ส่งผลให้ต้นทุนค่าขนส่ง และต้นทุนการผลิตปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ราคาสินค้าปรับตัวเพิ่มขึ้น และอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูงในปี 65
ดังนั้น ธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจมีแนวโน้มพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปี 65 หลังจากที่การประชุมเมื่อปลายเดือนก.ย. ที่ผ่านมา ธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้แสดงถึงแนวทางการดำเนินนโยบายด้านการเงินที่ตึงตัวมากขึ้น เห็นได้จากการวางแผนลดการเข้าซื้อสินทรัพย์ (Quantitative Easing - QE) เพื่อลดขนาดสินทรัพย์ที่ถือครองอยู่ ยิ่งไปกว่านั้น การคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) แสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้มากขึ้นว่าปี 65 ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 1-2 ครั้ง
ttb analytics วิเคราะห์ว่า การปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ ปี 65 อาจไม่สอดคล้องกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย ที่มีความจำเป็นต้องคงอยู่ในระดับต่ำเช่นนี้ เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ความแตกต่างของอัตราผลตอบแทนดอกเบี้ยอาจส่งผลให้เม็ดเงินจากภูมิภาคเอเชีย ไหลกลับเข้าสู่สหรัฐฯ เพิ่มมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้ปี 65 สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มแข็งค่าเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และส่งผลให้สกุลเงินบาทและสกุลเงินเอเชียอื่นๆ อ่อนค่าลง
อย่างไรก็ดี แม้ภาพรวมเงินบาทจะมีแนวโน้มอ่อนค่าลง แต่ด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจไทยที่กำลังฟื้นตัวอย่างช้าๆ จากการท่องเที่ยวที่ทยอยฟื้นตัวในปีหน้า อาจส่งผลให้เกิดความต้องการของค่าเงินบาทเพิ่มสูงขึ้นในระยะสั้น ประกอบกับการเป็นประเทศที่มีการอ่อนค่าเงินสูงสุดเป็นอันดับแรกของเอเชียในปี 64 อาจส่งผลให้ค่าเงินบาทที่มีการปรับตัวแข็งค่าในระยะสั้น และมีความผันผวนเพิ่มมากขึ้น จากการเก็งกำไรค่าเงินของนักลงทุนต่างชาติ
ดังนั้น ภาคธุรกิจควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน เช่น การทำสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า (FX forward) การจองสิทธิที่จะซื้อหรือขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า (FX options) เพื่อปิดความเสี่ยงจากความผันผวนของค่าเงินที่อาจพุ่งสูงขึ้นในปี 65 ซึ่งจะสามารถช่วยรักษาความสามารถทำกำไรจากการส่งออก และบริหารต้นทุนการนำเข้าของภาคธุรกิจได้ดีขึ้น