สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) แถลงว่า เศรษฐกิจไทยในเดือน ก.ย.64 มีสัญญาณดีขึ้นจากเดือนก่อน จากการบริโภคภาคเอกชนที่ปรับตัวดีขึ้น หลังการระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศเริ่มคลี่คลายและมีทิศทางที่ดีขึ้น ทำให้ภาครัฐมีการผ่อนคลายมาตรการควบคุม มีการทำกิจกรรมต่างๆ ได้มากขึ้น นอกจากนี้ การส่งออกไทย ยังขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7
อย่างไรก็ดี การลงทุนภาคเอกชนยังมีสัญญาณฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่นัก โดยเฉพาะการลงทุนในหมวดก่อสร้าง ด้านเสถียรภาพภายในประเทศยังคงอยู่ในเกณฑ์ดี ส่วนเสถียรภาพภายนอกประเทศอยู่ในระดับที่มั่นคง
นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการ สศค. กล่าวว่า เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชนเดือน ก.ย.64 มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า โดยการบริโภคสินค้าคงทน สะท้อนจากปริมาณจำหน่ายรถยนต์นั่งและปริมาณรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ หดตัวในอัตราชะลอลงที่ -13.5% และ -16.9% ต่อปี ตามลำดับ และเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลเพิ่มขึ้น 58.1% และ 18.7% ตามลำดับ
สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาที่ระดับ 41.4 จากระดับ 39.6 ในเดือน ส.ค.64 โดยเป็นผลมาจากภาครัฐได้ผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโค-19 ส่งผลให้ประชาชนและภาคธุรกิจมีการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มมากขึ้น ขณะที่การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ระดับราคาคงที่ ยังคงขยายตัวที่ 8.6% ต่อปี ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากการนำเข้าที่เพิ่มสูงขึ้นตามมูลค่าการนำเข้าสินค้า อย่างไรก็ดีรายได้เกษตรกรที่แท้จริงลดลงที่ -5.3% ต่อปี
ขณะที่เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชน มีสัญญาณทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า โดยการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากปริมาณนำเข้าสินค้าทุน ขยายตัวที่ 13.5% ต่อปี แต่ลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ -2.1% ขณะที่การจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ หดตัวในอัตราชะลอลงที่ -20.2% ต่อปี และเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลเพิ่มขึ้น 38.7%
การลงทุนในหมวดการก่อสร้าง สะท้อนจากปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ภายในประเทศ ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ -9.5% ต่อปี และลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ -3.3% ขณะที่ภาษีธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์หดตัวในอัตราชะลอลงที่ -6.0% ต่อปี และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ 3.4%
ด้านมูลค่าการส่งออกสินค้าขยายตัวต่อเนื่องจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า มูลค่าการส่งออกสินค้ารวมในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ในเดือน ก.ย.64 อยู่ที่ 2,036.0 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 ติดต่อกันที่ 17.1% ต่อปี และหากพิจารณาเฉพาะมูลค่าการส่งออกสินค้าที่ไม่รวมน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย พบว่า ขยายตัว 14.8% ต่อปี
โดยสินค้าที่ขยายตัวได้ดี ได้แก่ 1) สินค้าเกษตรและอาหาร โดยเฉพาะ ยางพารา ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังและข้าวที่ขยายตัว 83.6% 44.4% และ 33.8% ต่อปี ตามลำดับ
2) สินค้าที่เกี่ยวข้องกับการทำงานที่บ้าน (Work from Home) อาทิ เครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องใช้ภายในบ้าน อาทิ เตาอบไมโครเวฟ โทรทัศน์และส่วนประกอบ
3) สินค้าที่เกี่ยวกับการป้องกันการติดเชื้อและลดการแพร่ระบาด เช่น เครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ และผลิตภัณฑ์เภสัชภัณฑ์ที่ยังคงมีคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
4) สินค้าขั้นกลางหรือสินค้าวัตถุดิบ เช่น เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติก ผลิตภัณฑ์ยาง แผงวงจรไฟฟ้า และเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ
5) สินค้ารถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ยังคงขยายตัวที่ 4.9% ต่อปี ทั้งนี้ เมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกสินค้า โดยจำแนกเป็นรายตลาดคู่ค้าหลักของไทย พบว่า การส่งออกไปยังตลาดคู่ค้าหลักของไทยปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องในเกือบทุกตลาด โดยเฉพาะการส่งออกไปตลาดหลัก ได้แก่ อินเดีย อาเซียน-5 จีน และสหรัฐฯ ที่ขยายตัวที่ 76.1% 25.7% 23.3% และ 20.2% ต่อปี ตามลำดับ
ด้านเครื่องชี้เศรษฐกิจไทยด้านอุปทาน ส่งสัญญาณปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า โดยภาคเกษตร สะท้อนจากดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตร ขยายตัวที่ 4.9% ต่อปี จากการเพิ่มขึ้นของผลผลิตสำคัญ ได้แก่ ยางพารา มันสำปะหลัง และข้าวโพด อย่างไรก็ดี หากเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลลดลงที่ -2.7%
ภาคอุตสาหกรรม สะท้อนจากดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม หดตัวในอัตราชะลอลงที่ -1.3% ต่อปี และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ 8.0% สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 79.0 จากระดับ 76.8 ในเดือน ส.ค.64 ซึ่งเป็นการปรับตัวดีขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 6 เดือน เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น ทำให้ภาครัฐผ่อนคลายมาตรการควบคุม ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจมีทิศทางดีขึ้น รวมถึงมีอุปสงค์ทั้งในประเทศและต่างประเทศสำหรับสินค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น
บริการด้านการท่องเที่ยว มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจากโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ (Phuket Sandbox) และอื่น ๆ รวมถึงนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ได้รับการตรวจลงตราประเภทนักท่องเที่ยว (Tourist Visa) รวมถึงกลุ่มนักท่องเที่ยวสมาชิกสิทธิพิเศษ (Thailand Privilege Card) นักธุรกิจ กลุ่มสุขภาพที่เข้ามารับบริการทางการแพทย์ในประเทศไทยรวม จำนวน 12,237 คน โดยส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจากสหรัฐฯ อิสราเอล เยอรมนี สหราชอาณาจักร และฝรั่งเศส สำหรับจำนวนผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย อยู่ที่ 2,198,337 คน หรือคิดเป็นการหดตัวในอัตราชะลอลงที่ -80.6% ต่อปี
ทั้งนี้ เสถียรภาพเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 1.68% ต่อปี ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 0.19% ต่อปี ส่วนสัดส่วนหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือน ส.ค.64 อยู่ที่ 57.0% ต่อ GDP ซึ่งยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลัง เสถียรภาพภายนอกยังอยู่ในระดับมั่นคง และสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ สะท้อนจากทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือน ก.ย.64 อยู่ในระดับสูงที่ 244.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ