นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ กล่าวภายหลังหารือกับ นายหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทยว่า ในการหารือในครั้งนี้มีประเด็นสำคัญ 4 เรื่อง ได้แก่
ประเด็นที่ 1 ไทยและจีนเห็นตรงกันว่าจะเร่งจัดการประชุม JC หรือคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีระหว่างกันโดยเร็วที่สุด เพื่อประโยชน์ทางการค้าการลงทุนและความร่วมมือด้านเศรษฐกิจระหว่างกัน
ประเด็นที่ 2 ไทยและจีนต้องการเร่งให้ RCEP มีผลบังคับใช้ ซึ่งจะต้องมีสมาชิกอาเซียนอย่างน้อย 6 ประเทศให้สัตยาบัน และสมาชิกนอกอาเซียนอย่างน้อย 3 ประเทศให้สัตยาบัน ซึ่งไทยได้ยื่นให้สัตยาบันไปแล้วเมื่อวันที่ 28 ต.ค.ที่ผ่านมา และจะร่วมมือกันเร่งรัดให้ข้อตกลง RCEP มีผลบังคับโดยเร็ว เพื่อประโยชน์ของประเทศสมาชิกทั้ง 15 ประเทศ
ประเด็นที่ 3 ไทยและจีนจะร่วมมือกันในการเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระหว่างกัน รวมทั้งเรื่องของรถไฟความเร็วสูงด้วย ซึ่งทูตจีนได้แจ้งว่ารถไฟจากจีนไปลาวเปิดให้บริการแล้ว และจะร่วมมือกับไทยในการเร่งสร้างรถไฟความเร็วสูงเส้นทางที่จะเชื่อมลาวเพื่อให้ระบบการขนส่งสินค้าเข้าออกระหว่างกันนั้นมีความคล่องตัวและเพิ่มมูลค่าได้มากขึ้นโดยเร็ว
ประเด็นที่ 4 ไทยกับจีนจะร่วมมือกันนำเข้า-ส่งออกสินค้าระหว่างกัน โดยทูตจีนแจ้งว่ายินดีให้ความร่วมมือในการนำเข้าสินค้าเกษตรจากไทย และพร้อมอำนวยความสะดวกสินค้าอื่นๆ ด้วย
รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า ในการหารือยังได้หยิบยกเรื่องการค้าระหว่างไทยกับจีนมาหารือเป็นการเฉพาะ ประกอบด้วย ประเด็นที่ 1 ขอให้ทางการจีน เปิดด่าน 2 ด่าน ที่ปิดไปในช่วงโควิด คือ (1) ด่านโมฮาน ที่เป็นด่านทางบกเริ่มต้นจาก อ.เชียงของ จ.เชียงราย ทางตอนเหนือของไทย ผ่านบ่อเต็นไปเข้าทางยูนนานตอนใต้ของจีน และ (2) เส้นทางผ่านแม่น้ำโขงจากท่าเรือเชียงแสนของไทยไปเข้ายูนนานตอนใต้ของจีน ที่ด่านกวนเหล่ยหรือท่าเรือกวนเหล่ย ซึ่งปิดไปเพราะโควิดเช่นกัน อยากให้เร่งกลับมาเปิดโดยเร็ว รวมทั้งเพิ่มเงื่อนไข คือ ขอให้จีนอนุญาตนำเข้าผลไม้จากไทยผ่านด่านกวนเหล่ยได้
ประเด็นที่ 2 การนำเข้าไก่จากไทย เรามีโรงงานส่งออกไก่ไปจีน 22 โรงงาน แต่ในช่วงโควิดปิดไป 9 โรงงาน ขณะนี้สถานการณ์โควิดคลี่คลายแล้ว จึงขอให้ท่านทูตช่วยแจ้งให้ GACC หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับศุลกากรที่มีหน้าที่มาตรวจโรงงานผลิตไก่ในไทย เพื่ออนุญาตให้นำเข้าจีนได้ต่อไป และเร่งตรวจโรงงานส่งออกไก่ 9 โรงงานผ่านระบบออนไลน์ รวมทั้งขอให้จีนเพิ่มรายการนำเข้าไก่ในส่วนที่ยังไม่อนุญาต เช่น ไก่ทั้งตัวรวมหัว สะบักไก่ ข้อไก่ และเป็ด เป็นต้น
ประเด็นที่ 3 เรื่องการนำเข้ารังนกจากไทย ซึ่งจีนนำเข้าจากไทยแค่ 2 บริษัท แต่ไทยยังมีอีก 9 ราย ที่ขออนุญาตจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์อยู่ จึงขอให้จีนเร่งตรวจโรงงานเพิ่ม เพื่อให้ไทยสามารถส่งออกรังนกไปจีนเพิ่มขึ้น
ประเด็นที่ 4 เรื่องข้าว ซึ่งจีนกับไทยมี MoU ระหว่างกันอยู่ 1 ล้านตัน ที่จีนจะนำเข้าข้าว โดยจีนได้นำเข้าไป 7.2 แสนตัน ยังคงค้างอยู่อีก 2.8 แสนตัน จึงได้ขอให้ท่านทูตช่วยแจ้งคอฟโก้ ซึ่งเป็นองค์กรนำเข้าข้าวจากไทย เร่งดำเนินการให้ครบถ้วนตาม MoU ต่อไป
ในปี 2563 ไทยกับจีนมีมูลค่าการค้าระหว่างกัน 2.49 ล้านล้านบาท หรือเกือบ 80,000 ล้านดอลลาร์ ส่วนช่วง 9 เดือน (ม.ค.-ก.ย.64) มีมูลค่า 76,965 ล้านดอลลาร์ ขยายตัวเพิ่มขึ้น 31.61% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2563 โดยเป็นการส่งออกจากไทยไปจีนมูลค่า 28,274 ล้านดอลลาร์ และนำเข้าจากจีนมาไทยมูลค่า 48,692 ล้านดอลลาร์