นายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กล่าวว่า จากการระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบให้ภาคเกษตรกรรมประสบปัญหาราคาผลผลิตต่ำจากมาตรการล็อกดาวน์ ปิดประเทศ ไม่สามารถส่งออกสินค้าได้ ส่งผลทำให้เกษตรกรยังไม่มีความมั่นใจที่จะเข้ามาขอสินเชื่อ แต่เชื่อว่าหลังจากมีการเปิดประเทศ และผ่อนคลายมาตรการควบคุม จะทำให้การปล่อยสินเชื่อในปีบัญชี 64 ได้ตามเป้าหมายที่ 5.7 หมื่นล้านบาท
"แต่ต้องยอมรับว่าเป้าหมายการปล่อยสินเชื่อดังกล่าวต่ำสุดในรอบ 3-5 ปี ขณะที่เอ็นพีแอล ณ สิ้นปีบัญชีจะสามารถบริหารจัดการให้ลดลงมาอยู่ที่ 4% ใกล้เคียงกับปีก่อนหน้าได้ ส่วนแนวโน้มการปล่อยสินเชื่อในปีบัญชี 65 น่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีนี้ไม่ต่ำกว่า 10-15%" นายธนารัตน์ กล่าว
สำหรับการดำเนินงานในช่วง 6 เดือนหลัง (1 ต.ค. 64-31 มี.ค. 65) ธนาคารจะมุ่งดำเนินการฟื้นฟูลูกค้า มุ่งเน้นการตรวจสุขภาพหนี้ไปสู่การบริหารจัดการหนี้ แบ่งลูกค้าตามศักยภาพ และออกมาตรการสนับสนุนลูกค้าชั้นดี เช่น ผลัดผ่อนเกณฑ์พิเศษ เป็นต้น รวมทั้งเน้นการพัฒนาคุณภาพข้อมูล การให้บริการและคุณภาพสินเชื่อ ยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันด้านการพัฒนาชุมชน สนับสนุนเกษตรกรนำเครื่องมือทันสมัยมาช่วยในการพัฒนานวัตกรรมทางการเกษตร และพัฒนาองค์กรสู่ความยั่งยืน
สำหรับมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรของธ.ก.ส.ในช่วงการระบาดของโควิด-19 ประกอบด้วย
1. มาตรการเยียวยา ผ่านโครงการประกันรายได้สินค้าเกษตร 5 ชนิด ได้แก่ ข้าว ยางพารา ปาล์มน้ำมัน ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และมันสำปะหลัง มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ 6.92 ล้านราย รวมกว่า 6 หมื่นล้านบาท
2. มาตรการบรรเทา ผ่านโครงการประกันภัยพืชผล ได้แก่ การประกันภัยข้าวนาปี และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มีผู้เข้าร่วมโครงการกว่า 3.68 ล้านราย พื้นที่รวมกว่า 44.8 ล้านไร่ ซึ่งในช่วงที่เกิดอุทกภัย มีเกษตรกรได้รับความเดือดร้อนกว่า 4.6 แสนราย พื้นที่ทางการเกษตรได้รับความเสียหายกว่า 5.3 ล้านไร่ ขณะนี้ได้เร่งประสานงานในการจ่ายค่าสินไหมทดแทน
ในขณะเดียวกัน ยังได้มีการดำเนินโครงการพักชำระหนี้ มีเกษตรลูกค้าได้รับประโยชน์ 1.79 ล้านราย ต้นเงิน 5.51 แสนล้านบาท และการสร้างภูมิคุ้มกันให้เกษตรกรจำนวน 3 โครงการ ได้แก่ การประกันภัยโคนม โคเนื้อ และชาวประมง มีผู้เข้าร่วมโครงการ 2.78 พันราย เบี้ยประกัน 3.82 ล้านบาท
3. มาตรการฟื้นฟู สนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุน และสินเชื่อดอกเบี้ยผ่อนปรนตามนโยบายรัฐ จำนวน 3 โครงการ ได้แก่ สินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าว สินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการประมง และสินเชื่อเพื่อพัฒนาเกษตรแบบแปลงใหญ่ มีผู้เข้าร่วมโครงการ 2.26 พันราย รวม 8.98 พันล้านบาท
"ในระยะถัดไปมีความเป็นห่วงแนวโน้มราคาข้าวนาปีตกต่ำกว่าช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากปริมาณผลผลิตที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก ขณะที่แนวโน้มราคามันสำปะหลัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ จะปรับเพิ่มสูงขึ้นจากปริมาณความต้องการของประเทศคู่ค้าที่เพิ่มขึ้นตามทิศทางเศรษฐกิจโลกที่เริ่มฟื้นตัว" นางธนารัตน์ กล่าว
นายธนารัตน์ กล่าวถึงความคืบหน้าเรื่องการชำระหนี้จากโครงการรับจำนำข้าวว่า ในปีงบประมาณ 65 สำนักงบประมาณได้ตั้งงบชำระหนี้ให้ ธ.ก.ส. จำนวน 6.9 หมื่นล้านบาท น้อยกว่าปีก่อนหน้า โดยปัจจุบันรัฐบาลยังมีภาระหนี้จากโครงการดังกล่าวที่ต้องชำระคืนให้กับธนาคาร จำนวน 1 แสนล้านบาท คาดว่าสำนักงบประมาณจะมีการตั้งงบประมาณเพื่อจ่ายหนี้ ปีละ 10-20% ของงบประมาณรายจ่าย ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 3-5 ปีจึงจะชำระหนี้หมด