นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ กล่าวถึงค่าชดเชยโครงการประกันรายได้ผู้ปลูกข้าวและมาตรการคู่ขนาน ได้ให้ความเห็นชอบไปแล้วครั้งหนึ่ง วงเงิน 18,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับมาตรการคู่ขนานประมาณ 5,000 ล้านบาท และเงินส่วนต่างประมาณ 13,000 ล้านบาท สำหรับเงินส่วนต่างเริ่มจ่ายงวดที่ 1 วันนี้แล้ว และจะจ่ายต่อเนื่องในงวดที่ 2 ต่อไป ซึ่งเข้าใจว่าจะจ่ายวันพรุ่งนี้ ส่วนที่เหลือทั้งหมดจาก 33 งวด ก็จะเหลืออีก 31 งวด
ทั้งนี้ ที่ประชุมเห็นชอบในหลักการที่ต้องการให้ดำเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโดยต่อเนื่อง ซึ่งจะใช้วงเงินเท่าไรในแต่ละงวดขึ้นอยู่กับรายได้ที่ประกัน เช่น ข้าวเปลือกเจ้าประกันรายได้ที่ตันละ 10,000 บาท จะลบด้วยราคาย้อนหลัง 7 วัน จะเป็นวงเงินในแต่ละงวดที่ต้องไปจ่าย ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงในแต่ละงวดต่อไป
"มอบหมายให้กระทรวงการคลังเป็นผู้เข้าไปดูว่าต้องจัดเงินแต่ละงวดเท่าไหร่ ปรึกษากับสำนักงบประมาณและกระทรวงพาณิชย์ จะเป็นผู้ทำต้นเรื่องในภาพรวม แต่ละงวดจะต้องใช้เงินเท่าไหร่ หลัก คือ ประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวจะเดินหน้าปี 3 ต่อไป โดยจ่ายงวดแรกวันนี้ เป็นส่วนกระทรวงคลังจะเป็นผู้ดำเนินการในรายละเอียดว่าจะจัดให้มีเงินจ่ายส่วนไหนอย่างไร โดยหลักการคณะรัฐมนตรีเห็นชอบ เรื่องราคาข้าวจะต้องมาดูที่ราคาค่าความชื้นไม่เกิน 15% หรือเรียกว่า ข้าวแห้ง ราคาที่บางฝ่ายพูดกันขณะนี้คือราคาข้าวเปียก เพราะเกี่ยวแล้วก็ขายเลย ซึ่งความชื้นจะมากกว่า 15% เอาราคาตรงนั้นมาเป็นมาตรฐานไม่ได้ แต่ถ้าเป็นราคาข้าวแห้งปัจจุบันนี้ตกเกวียนละประมาณ 7,500-7,800 บาท" นายจุรินทร์ กล่าว
สำหรับมาตรการคู่ขนานให้ความเห็นชอบไปแล้วและดำเนินการแล้ว ตนเองได้กำชับ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เร่งรัดดำเนินการในส่วนนี้ เพราะ ธ.ก.ส.จะเป็นผู้มีบทบาทสำคัญ เช่น หากโรงสีต้องการเก็บสต๊อกข้าวไว้ไม่นำออกขาย เพื่อไม่กดราคาข้าวในตลาด จะได้รับเงินช่วยเหลือดอกเบี้ย 3% ซึ่งธ.ก.ส.จะเป็นผู้ดำเนินการร่วมกับโรงสีและกระทรวงพาณิชย์ต่อไป หรือหากสถาบันเกษตรกรเกี่ยวข้าวได้แล้วเอาไปตากแห้งแล้วยังไม่ขาย เพื่อไม่ทำให้ปริมาณข้าวในตลาดมากเกินไปจนทำให้ราคาตก รัฐบาลจะมีเงินช่วยเหลือตันละ 1,500 บาทเป็นมาตรการคู่ขนานที่เห็นชอบวงเงินไปแล้วในสัปดาห์ที่ผ่านมา
ด้านนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มอบหมายให้กระทรวงการคลังไปหารือร่วมกับสำนักงบประมาณ เพื่อหาแหล่งเงินมาใช้ในโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ฤดูกาลผลิต 2564/65 ที่กระทรวงพาณิชย์เสนอมา จำนวน 89,306 ล้านบาท ซึ่งก่อนหน้านี้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติงบประมาณก้อนแรก จำนวน 13,000 ล้านบาท โดยยังเหลือภาระที่ต้องเร่งหางบประมาณมาใช้ในโครงการอีก จำนวน 76,000 ล้านบาท
ส่วนข้อเสนอให้มีการขยับเพดานการใช้เงินผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐและหน่วยงานอื่น ที่กำหนดไว้ไม่เกิน 30% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี หรือ 930,000 ล้านบาทนั้น รมว.คลัง ระบุว่า เรื่องนี้คงต้องไปหารือกับสำนักงบประมาณ รวมถึงดูในรายละเอียดก่อน
"ต้องไปคุยกับสำนักงบประมาณก่อน ดูรายละเอียดร่วมกันเกี่ยวกับแหล่งเงินที่จะนำมาใช้ในโครงการว่ามีแหล่งเงินจากตรงไหนบ้าง งบกลางก็ต้องดูด้วย ตอนนี้คงยังบอกอะไรไม่ได้ ต้องคุยกันก่อนถึงจะสรุปได้ โดยขณะนี้ยังต้องใช้เงินอีกราว 76,000 ล้านบาท เพื่อจ่ายให้เกษตรกร โดยการจ่ายเงินก็จะทยอยจ่ายเป็นงวด ๆ ตามผลผลิตที่จะออกมา ประมาณ 2-3 เดือนนี้ หรือในช่วง พ.ย. 2564 - ม.ค. 2565" นายอาคม กล่าว
สำหรับข้อเรียกร้องการปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล เพื่อพยุงราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลนั้น รมว.คลัง ระบุว่า ขณะนี้ทางกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงดูแลเรื่องนี้อยู่ โดยยืนยันว่ากองทุนยังสามารถดูแลได้