ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย คาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยในปี 64 ไว้ที่ 1.5% (กรอบ 1.3-1.7%) โดยเชื่อว่าจากผลของมาตรการเปิดเมือง จะทำให้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยราว 2 แสนคน และเพิ่มการจับจ่ายใช้สอยในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งจะช่วยหนุน GDP ให้เพิ่มขึ้น 0.83% ส่วนการส่งออก คาดว่าปีนี้จะขยายตัวได้ในระดับสูงที่ 16.5% อัตราเงินเฟ้อ เพิ่มขึ้น 1.2%
ส่วนเศรษฐกิจไทยในปี 65 คาดการณ์ว่า GDP จะขยายตัวได้ 4.2% การส่งออก ขยายตัว 5.4% ซึ่งจะเป็นแรงขับเคลื่อนหลักที่สำคัญของเศรษฐกิจไทยในปีหน้าร่วมกับการบริโภคภาคเอกชนที่น่าจะเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น ขณะที่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อ จะอยู่ที่ 1.5% และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพิ่มขึ้นเป็น 5 ล้านคน
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในปี 64 ได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว โดยสะท้อนได้จากผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นทั้งในส่วนของประชาชน ภาคธุรกิจ และนักลงทุนต่างชาติ ที่มองว่าแนวโน้มเศรษฐกิจไทยจะเริ่มปรับตัวดีขึ้นในไตรมาส 4 ปีนี้
"จากการสำรวจความเชื่อมั่นทั้งประชาชน, ภาคธุรกิจ หอการค้าต่างประเทศ, โมเดิร์นเทรด ต่างเชื่อว่าในไตรมาส 4 เศรษฐกิจจะเริ่มดีขึ้น แม้ค่าดัชนีจะยังอยู่ในระดับต่ำก็ตาม แต่ก็สะท้อนว่ามันจะไม่แย่ไปกว่านี้ และจะค่อยๆ ดีขึ้น" นายธนวรรธน์ ระบุ
ทั้งนี้ มองว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4 ปีนี้ จะขยายตัวได้ที่ระดับ 2-3% จากผลของหลายปัจจัยไม่ว่าจะเป็นการผ่อนคลายมาตรการต่างๆ จากภาครัฐที่ทำให้หลายธุรกิจเริ่มกลับมาเปิดดำเนินการได้ การเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว การเพิ่มวงเงินผ่านมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายให้ประชาชนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งในภาพรวมคาดว่าจะมีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในช่วงปลายปีได้ 2.5-3 แสนล้านบาท
ขณะเดียวกัน สถานการณ์ระบาดของไวรัสโควิดในประเทศก็เริ่มที่จะควบคุมได้ โดยจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตรายวันเริ่มลดลงจากก่อนหน้า และยังไม่มีปัจจัยที่น่ากังวลว่าการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติจะทำให้มีการกลับมาระบาดในประเทศเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ การฉีดวัคซีนป้องกันโควิดก็สามารถทำได้เร็วกว่าเป้าหมายที่รัฐบาลวางไว้
"แม้จะมีการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว แต่ก็ยังคุมโควิดได้ การฉีดวัคซีนตอนนี้ก็ทำได้ครอบคลุม 70% แล้ว...สัญญาณต่างๆ เหล่านี้ ทำให้เราเห็นว่าเศรษฐกิจจะเริ่มโดดเด่นในปีหน้า ไม่มีสมมติฐานของการล็อกดาวน์ในไตรมาส 4 ปีนี้อีกรอบ ไปจนถึงปี 65 จึงทำให้เรามองว่าเศรษฐกิจไทยไตรมาส 4 น่าจะโตได้ 2-3%" นายธนวรรธน์ ระบุ
1. ปริมาณการค้าโลก คาดปี 64 ขยายตัว 9.7% ส่วนปี 65 ขยายตัว 6.7%
2. GDP โลก คาดปี 64 ขยายตัว 5.9% ส่วนปี 65 ขยายตัว 4.9%
3. นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทย คาดปี 2 แสนคน ส่วนปี 65 คาด 5 ล้านคน
4. อัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยทั้งปี คาดปี 64 ที่ 31.85 บาท/ดอลลาร์ ส่วนปี 65 เฉลี่ยที่ 32.65 บาท/ดอลลาร์
5. ราคาน้ำมันดิบดูไบ คาดปี 64 ที่ 67.2 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนปี 65 ที่ 75.8 ดอลลาร์/บาร์เรล
6. รายจ่ายสาธารณะ คาดปี 64 ที่ 4.05 ล้านล้านบาท ส่วนปี 65 ที่ 4.26 ล้านล้านบาท
7. อัตราดอกเบี้ยนโยบาย คาดปี 64 ที่ 0.50% ส่วนปี 65 ที่ 0.50%
สำหรับปัจจัยบวกต่อเศรษฐกิจไทยในปี 64-65 ประกอบด้วย
- จำนวนการฉีดวัคซีนป้องกันโควิดที่ทำได้ดีกว่าเป้าหมาย และจำนวนผู้ติดเชื้อมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง
- การประกาศเปิดประเทศ และผ่อนคลายมาตรการ ทำให้ภาคธุรกิจและเศรษฐกิจฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
- ภาคการผลิตและภาคบริการทั่วโลกเริ่มฟื้นตัว หลังการคลายล็อกดาวน์
- ภาครัฐมีการออกมาตรการเยียวยา กระตุ้น และฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
- การลงทุนของภาครัฐมีโอกาสเร่งตัวดีขึ้น
- ความเสี่ยงจากปัญหาภัยแล้ง และฝนทิ้งช่วงในปี 65 มีแนวโน้มลดลง
ส่วนปัจจัยลบต่อเศรษฐกิจไทยในปี 64-65 ที่ยังต้องจับตา คือ
- การแพร่ระบาดของโควิดที่ยืดเยื้อและยาวนาน ทำให้เกิดเป็นแผลเป็นต่อเศรษฐกิจ
- ธนาคารกลางของหลายประเทศหลัก มีแนวโน้มจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
- เศรษฐกิจจีนมีความไม่แน่นอนมากขึ้น จากวิกฤติพลังงานและปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์
- ปัญหาขาดแคลนชิป ส่งผลให้ห่วงโซ่การผลิตสินค้าอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบ
- ตู้คอนเทนเนอร์ขาดแคลน ทำให้ผู้ส่งออกส่งมอบสินค้าไม่ทันกำหนด
- ความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ กับจีน
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า การประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 65 ไว้ที่ 4.2% นั้น เชื่อว่าภาคการส่งออกจะยังเป็นตัวหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย รวมถึงการเติบโตของภาคบริการ โดยเฉพาะการท่องเที่ยวที่จะเริ่มกลับมา การเปิดสถานบันเทิงต่างๆ มากขึ้น ส่งผลดีต่อการจ้างงาน และการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนที่จะมีหมุนเวียนมากขึ้นในระบบเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ ในปลายปีหน้าประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพการจัดประชุมผู้นำเอเปค ซึ่งจะทำให้มีการเตรียมงานทั้งในส่วนของเจ้าหน้าที่จาก 21 ประเทศสมาชิกที่จะทยอยเข้ามาร่วมประชุมในระดับต่างๆ ตั้งแต่ช่วงไตรมาส 3 ต่อเนื่องไตรมาส 4 รวมกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามามากขึ้น ด้านอัตราเงินเฟ้อก็เชื่อว่าจะไม่เพิ่มขึ้นในระดับที่รุนแรง ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกอยู่ในช่วง 80-85 ดอลลาร์/บาร์เรล ไม่ส่งผลให้ราคาน้ำมันในประเทศทะลุ 35 บาท/ลิตร เพราะเชื่อว่ารัฐบาลจะช่วยตรึงราคาไว้จนกว่าเศรษฐกิจในประเทศจะดีขึ้น ส่วนเงินบาท อยู่ในกรอบไม่เกิน 32-33 บาท/ดอลลาร์
อย่างไรก็ดี ยังมีความกังวลต่อสถานการณ์หนี้ครัวเรือนในปีหน้าที่อาจจะเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าปี 65 หนี้ครัวเรือนจะอยู่ที่ 94.1% ของ GDP เพิ่มขึ้นจากปีนี้ ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 92.6% ของ GDP ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องรีบหาแนวทางแก้ไข ขณะเดียวกัน รัฐบาลต้องเร่งให้การช่วยเหลือปัญหาสภาพคล่องแก่ผู้ประกอบการ SMEs โดยเฉพาะในเรื่องของซอฟท์โลน หรือการไม่ใช่หลักทรัพย์ค้ำประกันการกู้เงิน เนื่องจากในปัจจุบัน ผู้ประกอบการ SMEs รวมทั้งภาคธุรกิจในต่างจังหวัดยังไม่ได้รับอานิสงค์เท่าที่ควรจากการเปิดประเทศ
"ความท้าทายของเศรษฐกิจไทยในช่วงจากนี้ คือ 1.ต้องคุมโควิดให้อยู่ มีการฉีดวัคซีนให้ได้มาก เพราะถ้าการติดเชื้อในประเทศลดลง ก็จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับทั้งประชาชน นักธุรกิจ และนักท่องเที่ยว 2.ไม่มีมาตรการล็อกดาวน์ แต่อาจใช้มาตรการจำกัดเฉพาะบางกิจกรรมที่มีปัญหา 3.ผลักดันให้ภาคธุรกิจเปิดกิจกรรมได้ตามปกติ 4.จัดซอฟท์โลนเพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับ SMEs 5.กระตุ้นกำลังซื้อภาคประชาชน เพื่อให้เกิดการจ้างงาน และลดปัญหาหนี้ครัวเรือน 6.ทำให้ EEC กลับมาคึกคัก เพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ" นายธนวรรธน์ ระบุ