นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือน พ.ย.64 อยู่ที่ระดับ 85.4 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 82.1 ในเดือน ต.ค.64 โดยค่าดัชนีฯ ปรับตัวเพิ่มเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน
สำหรับปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ สถานการณ์โควิด-19 ในประเทศที่มีแนวโน้มคลี่คลายลง ขณะที่การฉีดวัคซีนมีความคืบหน้าอย่างชัดเจน ส่งผลให้ภาครัฐผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 แบบค่อยเป็นค่อยไป โดยมีการปรับลดพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ยกเลิกมาตรการห้ามออกนอกเคหสถาน (เคอร์ฟิว) ตลอดจนอนุญาตให้สถานที่หรือกิจการบางประเภทสามารถเปิดดำเนินการได้ อาทิ ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร สถานเสริมความงาม สถานที่ออกกำลังกาย เป็นต้น
นอกจากนี้ ภาครัฐยังได้กำหนดพื้นที่นำร่องการท่องเที่ยว 4 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร กระบี่ พังงา และภูเก็ต เพื่อรองรับการเปิดประเทศในวันที่ 1 พ.ย. 64 จากมาตรการดังกล่าวส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่อุปสงค์ในประเทศทยอยฟื้นตัว สะท้อนดัชนีฯ คำสั่งซื้อและยอดขายสินค้าอุตสาหกรรมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น อาทิ อุตสาหกรรมยานยนต์และเครื่องจักรกล กลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มอุตสาหกรรมก่อสร้างและเครื่องใช้ในบ้าน รวมถึงกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและยา เป็นต้น
ด้านการส่งออกมีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญ อาทิ สหรัฐฯ จีน อาเซียน และอินเดีย ภายหลังสถานการณ์โควิด-19 ในหลายประเทศเริ่มมีทิศทางดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากปัญหาราคาพลังงาน และราคาวัตถุดิบที่ปรับตัวสูงขึ้นจนกระทบต่อต้นทุนการผลิตและการขนส่ง ปัญหาขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์และอัตราค่าระวางเรือสูง ขณะที่ปัญหาขาดแคลนแรงงานในภาคการผลิต และการก่อสร้างยังเป็นปัจจัยกดดันต่อเนื่อง
ทั้งนี้ จากการสำรวจผู้ประกอบการ 1,381 ราย ครอบคลุม 45 กลุ่มอุตสาหกรรมทั่วประเทศในเดือนพ.ย. 64 พบว่า ปัจจัยที่ส่งผลให้ผู้ประกอบการมีความกังวลเพิ่มขึ้น ได้แก่ อัตราแลกเปลี่ยน (มุมมองผู้ส่งออก) โดยอัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิงค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ 40.6% ส่วนปัจจัยที่ส่งผลให้ผู้ประกอบการมีความกังวลลดลง ได้แก่ ราคาน้ำมัน 65.4%, เศรษฐกิจในประเทศ 59.5%, สถานการณ์ระบาดของโควิด-19 58.0%, สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ 50.2%, อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 43.0% และสภาวะเศรษฐกิจโลก 45.1% ตามลำดับ
สำหรับดัชนีฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้าปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 97.3 จากระดับ 95.0 ในเดือนต.ค. 64 โดยผู้ประกอบการเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยจะมีทิศทางดีขึ้น ภายหลังจากภาครัฐผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง และการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 64 ที่ผ่านมา ขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป
นอกจากนี้ ภาคการส่งออกยังคงมีแนวโน้มขยายตัวตามความต้องการสินค้าในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการยังมีความกังวลเกี่ยวกับการกลับมาระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ จึงขอให้ภาครัฐเตรียมมาตรการรองรับหากมีการระบาดรอบใหม่ ตลอดจนออกมาตรการตรวจสอบคัดกรองนักท่องเที่ยวอย่างเข้มงวด
สำหรับข้อเสนอแนะต่อภาครัฐในเดือน พ.ย.64 ได้แก่
1.เร่งฉีดวัคซีนเข็ม 2 ให้เร็วที่สุด รวมถึงการฉีดเข็ม 3 (Booster) ที่มีความสามารถในการยับยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอมิครอน ตลอดจนเข้มงวดมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันการระบาดระลอกใหม่ พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์ข้อมูลให้ประชาชนได้รับทราบถึงแนวทางป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่
2.เร่งจัดหาและนำเข้าแรงงานต่างด้าวภายใต้ MOU เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาขาดแคลนแรงงานในภาคอุตสาหกรรม รวมทั้งแก้ไขปัญหาการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายตามแนวชายแดน
3.ขอให้ภาครัฐออกมาตรการช่วยเหลือ และบรรเทาผลกระทบจากต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้น อาทิ พยุงราคาพลังงาน, ตรึงราคาค่าไฟฟ้า (FT) และลดค่าสาธารณูปโภค (ไฟฟ้า น้ำประปา)
4.เร่งออกมาตรการช่วยเหลือและกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งผ่อนคลายกิจกรรมทางเศรษฐกิจภายใต้มาตรการควบคุมโรคในช่วงเทศกาลปีใหม่ เพื่อช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจ
5.สนับสนุนสินค้า Made in Thailand ผ่านการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐและเอกชนมากขึ้น
ประธาน ส.อ.ท.กล่าวว่า ภาพรวมสถานการณ์เศรษฐกิจทุกอย่างดีขึ้นหลังเปิดประเทศ ไม่ใช่แค่ภาคอุตสาหกรรมเท่านั้น ยังรวมไปถึงภาคเศรษฐกิจอื่นด้วย เพราะระบบเศรษฐกิจมีความเชื่อมโยงกัน ส่วนกรณีที่พบผุ้ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนรายแรกนั้นส่งผลกระทบทางจิตวิทยาในระยะแรก แต่ตอนนี้กลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้วเมื่อมีข้อมูลเพิ่มเติมว่าผู้ติดเชื้อไม่มีอาการรุนแรงหรือเสียชีวิตก็ทำให้คลายความกังวลลง
"ไม่เคยเห็นผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นฯ ที่ทั้ง 45 อุตสาหกรรมมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นพร้อมๆ กัน...การพบผู้ติดเชื้อโอมิครอนรายแรกยังคุมไว้ได้ และมีข้อมูลว่าอาการไม่รุนแรง และยังไม่มีผู้เสียชีวิต ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะมีการฉีดวัคซีนครอบคลุมมมากขึ้น" นายสุพันธุ์ กล่าว
ประธาน ส.อ.ท.กล่าวว่า หากไม่มีการล็อคดาวน์ก็เชื่อว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้จะขยายตัวอยู่ที่ 1-1.5% ส่วนคาดการณ์ในปี 65 รอฟังแถลงจากที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ในวันพรุ่งนี้ ส่วนสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในขณะนี้มีแนวโน้มที่ดีขึ้น จำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตลดลงอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ แม้ว่าจะเปิดประเทศมา 1 เดือนแล้วยังไม่มีอะไรที่น่ากังวล ขณะที่ประชาชนทุกคนยังดูแลตัวเองตามมาตรการที่กระทรวงสาธารณสุขแนะนำ ส่วนสถานประกอบการนั้นมีความพร้อมที่จะดำเนินการป้องกันตลอดเวลา เพราะมีประสบการณ์จากช่วงที่ผ่านมา
ประธาน ส.อ.ท.กล่าวว่า อยากให้มีการจัดงานส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เพราะไม่ได้จัดงานมา 2 ปีแล้ว แต่จะต้องมีมาตรการที่รัดกุมเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด เพราะสถานการณ์ยังวางใจไม่ได้ ไม่อยากให้เกิดปัญหาระบาดที่รุนแรงจนถึงขั้นต้องประกาศเคอร์ฟิวหรือล็อกดาวน์อีก