โพลล์เชื่อมั่นหอการค้าไทย-จีนมอง Q1/65 ศก.ไทยเริ่มฟื้นแต่ท่องเที่ยวคงกลับมาช้า

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday December 8, 2021 16:11 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายณรงค์ศักดิ์ พุทธพรมงคล ประธานกรรมการหอการค้าไทย-จีน เปิดเผยว่า หอการค้าไทย-จีน ร่วมกับคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นจากคณะกรรมการกิตติมศักดิ์ คณะกรรมการบริหาร และสมาชิกหอการค้าไทยจีน รวมถึงประธาน ผู้บริหาร กรรมการสมาพันธ์หอการค้าไทยจีน และกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่หอการค้าไทยจีน 370 คน ระหว่างวันที่ 16-26 พ.ย. 64 เพื่อคาดการณ์ทิศทางเศรษฐกิจในไตรมาส 1/65

ทั้งนี้ มีประเด็นพิเศษที่ให้ความสำคัญทั้งหมด 2 เรื่อง คือ 1. การติดตามสถานการณ์ทางเศรษฐกิจจากของโรคระบาด โควิด-19 และการจัดการทางธุรกิจ และ 2. ความเชื่อมั่นในการประกอบธุรกิจหลังมีสัญญาณเงินเฟ้อ อนึ่งการสำรวจครั้งนี้เริ่มมีข่าวการกลายพันธุ์โควิด-19 โอมิครอน ในช่วงวันสุดท้ายของระยะเวลาการสำรวจ การตีความการสำรวจต้องมีความระมัดระวังและคำนึงถึงเงื่อนไขดังกล่าว

สำหรับประเด็นยอดขายหรือรายได้ของธุรกิจในช่วงปลายปี 64 เห็นสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยหรือยัง ผลการสำรวจสรุปได้ว่า กว่า 60% ของผู้ตอบแบบสอบถามเห็นว่าการเปิดประเทศส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ แต่การที่นักท่องเที่ยวจะกลับมาเข้าไทยนั้นยังห่างไกล อย่างน้อยต้องเลยกลางปีหน้าไปแล้วในไตรมาส 3 ราว 42.17%, ไตรมาส 4 ราว 22.22% หรือนานกว่านั้น 17.95%

ผลสำรวจที่น่าสนใจอีกประการหนึ่ง คือ จากสถานะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเมื่อมองไปในอนาคต 3 เดือนข้างหน้า ผู้ประกอบการได้วางแผนการจ้างงาน เมื่อเทียบกับตอนก่อนเกิดวิกฤโควิดเอาไว้อย่างไร พบว่า เกือบครึ่งหนึ่ง หรือ 46.44% ยังคงวางแผนจ้างงานเพียง 1 ใน 3 เมื่อเทียบกับก่อนเกิดโควิด ส่วน 15.95% มีแผนจ้างงานในระดับ 30%-60% และมีเพียง 15.95% ที่จ้างงานใกล้เคียงกับก่อนวิกฤตโควิด คือ 60-100%

ดังนั้น สามารถสรุปได้ว่าสถานการณ์ทางเศรษฐกิจเริ่มที่จะดีขึ้น การจ้างงานเริ่มทยอยกลับมาอีกครั้ง และแรงงานต่างชาติที่ปลอดโควิดมีความสำคัญเป็นอย่างมาก แต่ต้องรอไปอีกระยะหนึ่งอย่างน้อยผ่านกลางปี 65 ไปถึงดีขึ้นตามความคาดหวังของผู้ถูกสำรวจ

ด้านนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากจีนจะมีความมั่นใจและเดินทางมาประเทศไทยเมื่อไหร่ นักธุรกิจของหอการค้าไทยจีนคาดว่า จะเริ่มมีการเดินทางในไตรมาส 3/65 ราว 42% ไตรมาส 4/65 ที่ 22.2% และต้นปี 66 ที่ 17.9% โดยนักธุรกิจหอการค้าไทยจีนมีข้อเสนอแนะว่าต้องเปิดประเทศต่อไป แต่ให้ใช้มาตรการเช่นในปัจจุบันหรือเข้มข้นขึ้น เช่น การปิดบางกิจการ

อนึ่ง การสำรวจเป็นการคาดการณ์ก่อนที่จะทราบรายละเอียดของการกลายพันธุ์เป็นโควิดสายพันธุ์โอมิครอนที่เป็นกระแสความไม่แน่นอนในทั่วโลกในขณะนี้

ในส่วนที่สอง ปัญหาเรื่องต้นทุนวัตถุดิบและต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้น จะเป็นปัจจัยทำให้เกิดเงินเฟ้อที่ผลักดันต่อต้นทุนหรือ cost-push inflation ในระยะยาวยังเป็นความกังวลสูง 54.7% และมีความกังวลถึงสูงมาก 9.69% นอกจากนี้จะเป็นสาเหตุให้ผู้ประกอบการ 80% ปรับราคาสินค้าภายใน 3 เดือนข้างหน้า 56.13% และคิดว่าจะรอไปปรับราคาหลังจาก 3 เดือนไปแล้ว 25%

เมื่อพิจารณาถึงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างจีนและไทย จากการสำรวจพบว่า 51% คาดว่าเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนโดยรวมของจีนในไตรมาส 1/65 จะดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสปัจจุบัน ในขณะที่ 27.9% คาดว่าเศรษฐกิจจีนจะทรงๆ ส่วน 12.8% เห็นว่าเศรษฐกิจจีนน่าจะเติบโตช้าลง ซึ่งสะท้อนถึงการคาดคะเนการส่งออกของไทยไปยังประเทศจีนในไตรมาสหน้า โดย 55.6% คาดว่าการส่งออกของไทยไปยังจีนจะเพิ่มขึ้น และ 24.5% ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปจากปัจจุบัน

ส่วนการคาดคะเนการนำเข้านั้น 57.8% คาดว่าการนำเข้าจากจีนจะเพิ่มสูงขึ้น และ 19.9% คาดว่าจะทรงตัว และจากการสอบถามความคิดเห็น ด้านการลงทุนของจีนในไทยพบว่า 47.9% คาดว่าการลงทุนจากจีนจะเพิ่มขึ้น ในภาพรวมแล้วความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจไทยจีนยังดีอย่างต่อเนื่อง

นายณรงค์ศักดิ์ กล่าวย้ำว่า จีนเป็นประเทศคู่ค้าอันหนึ่งของไทย เป็นเวลา 9 ปี ติดต่อกัน ส่วนการส่งออกของไทยไปจีนขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยรอบ 10 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-ต.ค. 64) การส่งออกขยายตัว 26% จากการเปิดบริการเส้นทางรถไฟความเร็วสูงลาว-จีน ต้นเดือนธ.ค. 64 และการที่ความตกลงอาร์เซป (RCEP) จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ม.ค. 65 ซึ่งคาดว่าจะขยายโอกาสการค้าการลงทุนในอนาคตระหว่างไทยและจีน

สำหรับสัญญานบวกที่ดี คือ การสำรวจการคาดการณ์สถานการณ์เศรษฐกิจ การค้า การลงทุนของไทยโดยรวม ในไตรมาสที่ 1/65 เมื่อเทียบกับไตรมาสปัจจุบัน มากกว่า 60% เห็นว่าจะเพิ่มขึ้น ดีขึ้น หมายถึงว่าเศรษฐกิจไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว

ส่วนภาคธุรกิจที่ยังสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปีหน้า คือ ธุรกิจออนไลน์ พืชผลการเกษตร ธุรกิจท่องเที่ยว ธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง และการบริการสุขภาพ ส่วนธุรกิจที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน คือ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว พืชผลการเกษตร และอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์

จากผลการสำรวจขยายความได้ว่า รากฐานทางด้านการท่องเที่ยว และพืชผลการเกษตรมีความเข้มแข็ง มีราคาดีในปัจจุบัน อาทิ ยาง มันสำปะหลัง และน้ำมันปาล์ม ทั้งนี้ หากสถานการณ์โควิดคลี่คลาย และปัญหาการประกอบธุรกิจได้รับการแก้ไขอย่างรวดเร็ว ทั้งสองธุรกิจจะเป็นที่พึ่งทางด้านรายได้ของไทยในไตรมาสหน้า

ในส่วนของการคาดการณ์ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ในไตรมาสแรกปีหน้าเมื่อเทียบกับไตรมาสปัจจุบัน 59.5% คาดว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์น่าจะปรับตัวดีขึ้น ส่วนแนวโน้มอัตราแลกเปลี่ยนนั้นเสียงส่วนใหญ่คาดว่าเงินบาทจะไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ