นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ กล่าวถึงการจ่ายเงินประกันรายได้ข้าวและยางพาราให้แก่เกษตรกรว่า ที่ผ่านมา รัฐบาลได้ดำเนินนโยบายประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ โดยดำเนินการมาแล้ว 2 ปีแล้ว และปีนี้ถือว่าเป็นปีที่ 3
สำหรับประกันรายได้ข้าว และยางพาราในปีนี้นั้น รัฐบาลได้ค้างจ่ายเงินส่วนต่างที่จะต้องจ่ายให้กับเกษตรกร เพื่อชดเชยกับราคาตลาดที่ไม่ถึงรายได้ที่ประกัน สำหรับข้าวค้างจ่าย 5 งวด และยางพาราค้างจ่าย 2 งวด แต่หลังจากที่นายกรัฐมนตรีขยายเพดานตามพ.ร.บ.วินัยการคลัง เมื่อวันที่ 24 พ.ย. 64 มีผลให้เพดานเพิ่มขึ้นจาก 30% เป็น 35% สามารถนำเงินที่มีอยู่มาจ่ายเงินส่วนต่างให้กับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวกับยางพาราได้
ในส่วนของข้าว ปีที่ 3 เงินที่เกษตรกรจะได้รับ มี 3 ก้อน คือ ก้อนที่หนึ่ง เงินส่วนต่าง โดยงวดที่ 1-2 กับงวดที่ 3 บางส่วน ได้จ่ายให้กับเกษตรกรไปแล้ววงเงินประมาณ 13,000 ล้านบาท ส่วนงวดที่ 3 ที่เหลือ จะจ่ายให้ครบโดยเริ่มจ่ายวันนี้ (9 ธ.ค. 64) โดยจ่ายงวดที่ค้างอยู่ 5 งวดพร้อมกัน คือ งวดที่ 3 บางส่วน และงวด 4-7 รวมเป็นเงิน 64,847 ล้านบาท ส่วนงวดที่ 8 จะจ่ายวันที่ 14 ธ.ค. เป็นเงิน 3,720 ล้านบาท และงวดที่ 9-33 จะทยอยจ่ายทุก 7 วันจนครบ โดยงวดสุดท้ายคือ วันที่ 27 พ.ค. 65
ทั้งนี้ เกษตรกรครัวเรือนจะได้รับเงินส่วนต่างสูงสุดสำหรับผู้ปลูกข้าวหอมมะลิ สูงสุด 58,988 บาท ข้าวหอมนอกพื้นที่สูงสุด 60,086 บาท ข้าวหอมปทุม สูงสุด 36,358 บาท ข้าวเปลือกจ้าว สูงสุด 67,603 บาท ข้าวเหนียว 71,465 บาท ซึ่งจะสามารถช่วยชาวนาได้ประมาณ 4.7 ล้านครัวเรือน
เงินก้อนที่สอง คือเงินในมาตรการคู่ขนาน ซึ่งเป็นเงินช่วยเหลือเฉพาะผู้ที่เข้าร่วมโครงการ เช่น เก็บข้าวไว้ในยุ้งฉางเป็นเวลา 5 เดือน เพื่อไม่ให้ข้าวออกสู่ตลาดมากจนเกินไป ช่วยตันละ 1,500 บาท หรือสหกรณ์เก็บไว้จะช่วยตันละ 1,500 บาท และช่วยเหลือดอกเบี้ย ถ้าสหกรณ์เก็บข้าว 12 เดือน ช่วยดอกเบี้ย 3% ถ้าโรงสีเก็บข้าว 6 เดือน จะช่วยดอกเบี้ย 3% เพื่อไม่ให้ข้าวออกสู่ตลาดมากเกินไป และไปกดราคาข้าวในตลาด
เงินก้อนที่สาม คือ ช่วยค่าบริหารจัดการหรือปรับปรุงคุณภาพข้าว ไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกิน 20 ไร่ต่อครัวเรือน สูงสุดไม่เกิน 20,000 บาท โดยจ่ายวันที่ 13 ธ.ค. 64 เป็นต้นไป เป็นเงิน 53,871 ล้านบาท ให้กับเกษตรกรผู้ปลูกข้าว 4.7 ล้านครัวเรือน ส่วนชาวนาที่น้ำท่วมเสียหายจะได้เงินอีกก้อนหนึ่ง คือ เงินชดเชยความเสียหายจากอุทกภัยหรือภัยธรรมชาติ โดยชาวนาที่ปลูกข้าวแล้วน้ำท่วม จะยังได้รับเงินส่วนต่างจากโครงการประกันรายได้ผู้ปลูกข้าว
รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ กล่าวว่า ในส่วนของข้าว แม้ราคาตกไปช่วงหนึ่ง แต่ขณะนี้ถือว่าราคาข้าวกระเตื้องขึ้น โดยข้าวแห้งที่ความชื้นไม่เกิน 15% ราคาข้าวเปลือกเจ้าขณะนี้ขึ้นไป 7,700-8,100 บาทแล้ว การส่งออกก็ดีขึ้นในครึ่งปีหลังส่งออกข้าวได้มาก โดยครึ่งปีแรกเดือนละ 400,000-500,000 ตัน ปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็นเดือนละ 700,000-800,000 ตัน ซึ่งคาดว่าทั้งปีจะสามารถส่งออกได้ถึง 6,000,000 ตัน เพราะมีความสามารถในการแข่งขันเรื่องราคา จากเงินบาทที่อ่อนค่าลง และมาตรการอื่นๆ ที่ร่วมกับสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ที่ช่วยให้ประสบความสำเร็จมากขึ้น
สำหรับยางพารานั้น จะเริ่มจ่ายงวดที่ 1-2 ในวันนี้ (9 ธ.ค. 64) เช่นเดียวกัน โดยงวดที่ 1 วงเงินประมาณ 900 ล้านบาท งวดที่ 2 วงเงิน 540 ล้านบาท รวม 1,440 ล้านบาทโดยประมาณ และจะจ่ายงวดที่ 3-6 ทุกเดือนจนถึงเดือน เม.ย. 65 โดยงวดที่ 3 จะเริ่มจ่ายวันที่ 7 ม.ค. 65 วงเงิน 8,626 ล้านบาท
นายจุรินทร์ กล่าวว่า ในส่วนของยางพารา มีเงินเตรียมไว้ 10,065 ล้านบาท โดยวงเงินสูงสุดที่ได้รับเฉพาะงวดที่ 1-2 ยางแผ่นดิบสูงสุด 3,835 บาทต่อครัวเรือน น้ำยางข้น 2,975 บาท ส่วนยางก้อนถ้วยจะไม่ได้รับเงินส่วนต่าง โดยที่ผ่านมายางราคาดีกว่าช่วงก่อน สำหรับน้ำยางข้น ประกันรายได้ที่กิโลกรัมละ 57 บาท ตอนนี้ราคาอยู่ที่กิโลกรัมละ 60 บาทแล้ว ส่วนยางก้อนถ้วย ประกันที่กิโลกรัมละ 23 บาท ตอนนี้ 25-26 บาทแล้ว โดยภาคอีสานมีราคาสูงกว่าภาคใต้ 1 บาท เพราะอยู่ใกล้แหล่งการส่งออก ซึ่งยางก้อนถ้วยราคาสูงกว่ารายได้ที่ประกันมาเป็นปีแล้ว
"วันนี้ถือเป็นวัน Kick Off การจ่ายเงินส่วนต่างให้กับเกษตรกรผู้ปลูกข้าว และผู้ปลูกยางพาราพร้อมกัน ส่วนพืชอีก 3 ชนิดสูงกว่ารายได้ที่ประกันแล้ว สำหรับข้าวโพด ประกันรายได้ที่ 8.50 บาท ตอนนี้ 9.60 บาท ปาล์มน้ำมัน ประกันที่ 4 บาท ตอนนี้ราคา 8-9 บาทและมันสำปะหลัง ประกันที่ 2.50 บาท ก็ไป 2.50-2.70 บาท ตอนนี้ราคาพืชเกษตรที่ประกันดีราคาเกือบทุกตัว ยกเว้นข้าวแต่ปีก่อนราคาข้าวดีพอสมควร แตะ 10,000 บาทสำหรับข้าวเปลือกเจ้า" นายจุรินทร์ กล่าว