น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภค (สอบ.) กล่าวว่า คณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (กนศ.) ยังไม่ได้นำเรื่องข้อตกลง CPTPP (Comprehensive and Progressive Agreement of Trans-Pacific Partnership หรือ ความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก) มาประชุมหารือกับเครือข่ายองค์กรผู้บริโภค ตามที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มีบัญชาไว้เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2564
ทั้งนี้ การพิจารณาเห็นชอบเข้าร่วม CPTPP ที่จะทำให้ประเทศต้องผูกมัดในข้อตกลงหลายประการที่จะสร้างผลกระทบอย่างมากต่อประชาชนโดยรวม สอบ. และเครือข่ายองค์กรผู้บริโภค ได้แสดงข้อห่วงกังวลในประเด็นนี้มาโดยตลอด รวมถึงได้ส่งข้อเสนอให้กับ นายกรัฐมนตรี ซึ่งต่อมายังได้มีบัญชาให้กระทรวงพาณิชย์ในฐานะฝ่ายเลขานุการ กนศ. พิจารณาและประสานกับ สอบ. อย่างไรก็ตาม ขณะนี้บัญชาดังกล่าวยังไม่มีหน่วยราชการใดนำไปปฏิบัติ แต่กลับจะมีแผนเดินหน้าเข้าร่วม CPTPP
ดังนั้นจึงไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะเดินหน้าผลักดันเรื่องนี้เข้าไปเสนอวาระเพื่อลงมติในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 14 ธ.ค.64 หาก กนศ. ฝืนดำเนินการก็อาจถือได้ว่าเป็นการขัดเจตนารมณ์ของนายกรัฐมนตรี ที่ประกาศไว้กับ สอบ. และเครือข่ายภาคประชาชน
"สอบ. ยังขอยืนยันให้ กนศ. หารือกับ สอบ. ตามบัญชาของนายกรัฐมนตรี และขอให้รัฐบาลชะลอการยื่นหนังสือแสดงเจตจำนงเข้าร่วมความตกลง CPTPP ออกไปก่อน จนกว่าจะมีการเจรจากับ สอบ. และภาคประชาชนจบสิ้นแล้ว" เลขาธิการ สอบ. กล่าว
ที่ผ่านมา สอบ. ภาคประชาชน และคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ได้หารือ และสรุปตรงกันว่า ขณะนี้ยังไม่มีการศึกษาวิจัยเปรียบเทียบว่าการเข้าร่วมจะมีผลได้หรือผลเสียมากกว่ากัน ทั้งการค้าและการลงทุนที่เปรียบเทียบกับผลกระทบต่อประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินทางนโยบายที่สำคัญ ดังนั้น รัฐบาลจึงควรรองานวิจัยนี้ก่อนที่จะเดินหน้าเข้าร่วม
นอกจากนี้ สอบ. จะเสนอให้กกร. จัดหานักวิชาการไทยที่มีงาน ตีพิมพ์ในเรื่องที่เกี่ยวกับ FTA ในวารสารวิชาการระดับโลก (ในฐาน SCOPUS หรือ ISI) และขอให้นักวิชาการรายดังกล่าวทำวิจัยเพื่อ ให้ได้ผลชัดเจน ทั้งนี้ จึงขอยืนยันให้รัฐบาลพิจารณาข้อเสนอของ สอบ. และเครือข่ายองค์กรผู้บริโภคก่อนที่จะดำเนินการเข้าร่วม CPTPP ตามข้อเสนอ ดังต่อไปนี้
1) ขอให้คณะรัฐมนตรีชะลอการแสดงความจำนงเข้าร่วมความตกลง CPTPP จนกว่าการศึกษาวิจัยเปรียบเทียบผลกระทบด้านบวกและด้านลบแล้วเสร็จ พร้อมกันนี้คณะรัฐมนตรีควรใช้มาตรการอื่นๆ ในการสนับสนุนให้เกิดการลงทุนที่เป็นมิตรกับผู้บริโภคในประเทศ เช่น ทบทวนกฎหมายที่บังคับใช้ อยู่ในปัจจุบัน Regulatory Guillotine (RG) เพื่อลด ละ เลิกกฎหมายที่ไม่มีความจำเป็น ล้าสมัย ไม่สะดวก สร้างภาระต่อการปฏิบัติ โดยมุ่งเน้นการมีส่วนร่วมจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วน โดยเฉพาะระเบียบ กฎเกณฑ์ และแนวปฏิบัติภาครัฐส่วนมากมีลักษณะไม่ยืดหยุ่น ก่อให้เกิดภาระต่อภาครัฐในการบังคับใช้และสร้างภาระต่อผู้ประกอบการและประชาชนในการปฏิบัติตาม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เท่าทันนวัตกรรมใหม่ ๆ และพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมของโลก
2) ขอให้เร่งดำเนินการศึกษาวิจัยเปรียบเทียบผลกระทบด้านบวกและด้านลบจากการเข้าร่วมความตกลง CPTPP และนำเสนอผลการศึกษาวิจัยเปรียบเทียบฯ ต่อสาธารณะทันทีเมื่อแล้วเสร็จ หากข้อมูลพบผลกระทบด้านลบมากกว่าผลดีที่จะเกิดขึ้น ขอให้รัฐบาลมีมติหยุดการเข้าร่วมเจรจาความตกลง CPTPP ต่อไป ส่วนหากมีผลกระทบด้านบวกมากกว่าและสรุปได้ว่าการเข้าร่วมฯ จะก่อให้เกิดผลได้มากกว่าผลเสียอย่างมีนัยสำคัญ ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมความพร้อมในด้านต่าง ๆ เช่น งบประมาณ อัตรา บุคลากร ศักยภาพของบุคลากร ระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ฯลฯ ตามที่ระบุในบทสรุปผู้บริหารของรายงานของคณะกรรมาธิการฯ
3) ขอให้กระทรวงสาธารณสุขโดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ต้องมีมาตรการป้องกันไม่ให้เกิดความล่าช้าในการขึ้นทะเบียนยากับยาชื่อสามัญ (Generic Drug) และเร่งปรับปรุงฉลากผลิตภัณฑ์ GMO ให้มีความชัดเจนและต้องแสดงฉลากในทุกผลิตภัณฑ์ที่พบว่ามีการใช้วัตถุดิบที่มาจากการตัดแต่งพันธุกรรมไม่ว่าจะปริมาณเท่าไรก็ตาม รวมทั้งมีสัญลักษณ์ที่ผู้บริโภคสามารถเห็นได้ชัดเจน รวมทั้งมีมาตรการตรวจสอบฉลากผลิตภัณฑ์ที่เป็นเครื่องสำอางและอาหารจากวัตถุดิบที่มีหรือปนเปื้อน GMO เพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค คู่ขนานกับการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบธุรกิจ
4) ขอให้กระทรวงพาณิชย์ปรับปรุง พ.ร.บ. สิทธิบัตร พ.ศ. 2522 ที่สร้างสมดุลระหว่างการคุ้มครองสิทธิของผู้ทรงสิทธิบัตร สิทธิของประชาชน และการส่งเสริมอุตสาหกรรมยาภายในประเทศ และสนับสนุนการใช้มาตรการใช้สิทธิโดยรัฐ (มาตรการบังคับใช้สิทธิ, Compulsory Licensing) ให้มีประสิทธิภาพและสะดวกมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามความตกลงว่าด้วยการค้าที่เกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญาขององค์การการค้าโลก (ความตกลงทริปส์) และปฏิญญาโดฮาว่าด้วยความตกลงทริปส์และการสาธารณสุข ที่ตีความและบังคับใช้กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาโดยคำนึงถึงประโยชน์ ด้านสุขภาพมากกว่าการค้า รวมทั้งปรับปรุงกฎหมายสิทธิบัตรให้ผู้ยื่นขอรับการคุ้มครองสิทธิบัตรพันธุ์พืชต้องแสดงที่มาของทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่น
5) ขอให้กองทุนอนุรักษ์และพัฒนาพันธุ์พืช ภายใต้พระราชบัญญัติคุ้มครองพันธุ์พืช พ.ศ. 2542 เร่งดำเนินการให้กองทุนสามารถสนับสนุนให้เกษตรกรเข้าถึงกองทุนนี้ เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมให้เกิดการวิจัยและพัฒนาสายพันธุ์ในระดับจังหวัดและให้การสนับสนุนเกษตรกรเป็นนักปรับปรุงพันธุ์ และพัฒนาระบบการขึ้นทะเบียนสายพันธุ์พืชท้องถิ่นเพื่อสนับสนุนการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากสายพันธุ์โดยเกษตรกรและชุมชน
6) ขอให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เร่งผลักดันร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อให้ครอบคลุมขอให้กระทรวงเกษตร เร่งผลักดัน (ร่าง) พ.ร.บ.คุ้มครองความหลากหลายทางชีวภาพเพื่อให้ครอบคลุมทรัพยากรชีวภาพทุกประเทศโดยใช้หลักการในอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ (Convention on Biological Diversity, CBD) เป็นหลักการพื้นฐานสำคัญของกฎหมายฉบับนี้