ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยผลการประชุมร่วมกันระหว่างคณะกรรมการการนโยบายการเงิน (กนง.) และ คณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน (กนส.) วันที่ 8 ธ.ค. 64 เพื่อติดตามและประเมินเสถียรภาพระบบการเงินไทย โดยที่ประชุมมีมติเห็นควรให้หน่วยงานกำกับดูแลทั้ง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ร่วมกันติดตามความเสี่ยงเฉพาะหน้าอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะผลของการระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ที่อาจส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย
ตลอดจนประเมินความเพียงพอและประสิทธิผลของมาตรการที่ดำเนินการไปแล้ว รวมถึงเตรียมความพร้อมด้านมาตรการและเครื่องมือในการรองรับความเสี่ยงระยะปานกลางที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะมาตรการที่ต้องมีการประสานนโยบายระหว่างหน่วยงานกำกับดูแลและหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องต่อไป
อีกทั้งเตรียมความพร้อมด้านมาตรการและเครื่องมือในการรองรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ในระยะปานกลาง หรือ ในช่วง 2-3 ปี ข้างหน้า ซึ่งจำเป็นต้องมีการประสานนโยบายระหว่างหน่วยงานกำกับดูแล โดยที่ประชุมให้น้ำหนักกับการดูแลความเสี่ยงสำคัญที่มีนัยต่อเสถียรภาพระบบการเงินไทยในอีก 2 ประเด็น ดังนี้
1. หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพสินเชื่อของสถาบันการเงิน (สง.) และเป็นแรงกดดันต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะถัดไปนั้น ควรเร่งผลักดันมาตรการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยที่มีภาระหนี้สูงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการผลักดันให้สถาบันการเงิน เร่งปรับโครงสร้างหนี้อย่างยั่งยืนแก่ลูกหนี้รายย่อยที่มีศักยภาพแต่มีภาระหนี้สูงให้เป็นไปตามเป้าประสงค์ เตรียมความพร้อมมาตรการชะลอการก่อหนี้ใหม่ในด้านการกำกับดูแลที่เป็นมาตรฐานเดียวกันระหว่างผู้ให้บริการทางการเงินประเภทต่าง ๆ รวมถึงการแก้ไขปัญหาหนี้ที่ทำควบคู่กับการฟื้นฟูรายได้และให้ความรู้ทางด้านการเงินแก่ประชาชน เพื่อให้สถานการณ์หนี้ครัวเรือนปรับตัวดีขึ้น และภาคครัวเรือนสามารถหลุดพ้นจากกับดักหนี้ได้ในที่สุด
2. ความเสี่ยงที่ส่งผ่านระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ ในระบบการเงิน เช่น ความผันผวนในตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชน ซึ่งส่งผลกระทบต่อนักลงทุนโดยทั่วไป สหกรณ์ออมทรัพย์ หรือกองทุนรวม และส่งผลต่อต้นทุน การระดมทุนของภาคธุรกิจ ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างหน่วยงานกำกับดูแลและหน่วยงานภาครัฐ ที่เกี่ยวข้องในการเตรียมความพร้อมมาตรการและเครื่องมือรองรับและยกระดับเกณฑ์การกำกับดูแลในช่วงเวลาที่สอดรับกัน เช่น การมีมาตรการดูแลความเสี่ยงของบริษัทขนาดใหญ่ ที่ระดมทุนผ่านทั้งช่องทางสินเชื่อและการออกตราสารหนี้
พร้อมกับการมีเกณฑ์กำกับดูแลเพื่อลดการกระจุกตัวของการลงทุนของสหกรณ์ออมทรัพย์ รวมถึงการมีเกณฑ์เพื่อดูแลความเสี่ยงด้านสภาพคล่องของกองทุนรวมที่เข้มงวดขึ้น เป็นต้น เพื่อจำกัดการส่งผ่านความเสี่ยงและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับระบบการเงิน รองรับการเปลี่ยนแปลงและความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
ที่ประชุมเห็นว่า ระบบการเงินไทยโดยรวมยังมีเสถียรภาพ ธนาคารพาณิชย์มีเงินกองทุน เงินสำรองและสภาพคล่องอยู่ในระดับสูง และสามารถทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญในการสนับสนุนความต้องการสินเชื่อเพื่อรองรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า
ขณะที่ธุรกิจประกันภัยยังมีฐานะการเงินมั่นคง ส่วนผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 จำกัดอยู่เฉพาะบางบริษัทที่ขายกรมธรรม์ประกันภัยโควิด-19 แบบเจอ-จ่าย-จบ ซึ่งได้มีมาตรการดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อไม่ให้ส่งผลต่อเสถียรภาพระบบการเงินแล้ว ขณะที่ตลาดการเงินมีเสถียรภาพและสามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติ
ในช่วงที่ผ่านมาหน่วยงานกำกับดูแลได้ออกมาตรการเพื่อดูแลเสถียรภาพระบบการเงินและช่วยเหลือภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง โดย ธปท.ได้ออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้เพิ่มเติม อาทิ มาตรการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ระยะยาวอย่างยั่งยืน มาตรการรวมสินเชื่อบ้านและสินเชื่อรายย่อยอื่น ๆ ข้ามธนาคาร (debt consolidation) มาตรการผ่อนเกณฑ์วงเงิน ระยะเวลากู้ และลดอัตราผ่อนชำระขั้นต่ำ มาตรการสินเชื่อฟื้นฟู และโครงการพักทรัพย์ พักหนี้ เป็นต้น ซึ่งสามารถบรรเทาภาระในการชำระหนี้และเพิ่มสภาพคล่องให้แก่ครัวเรือนและ SMEs
ขณะที่ คปภ.ได้ออกมาตรการช่วยเหลือบรรเทาผลกระทบต่อผู้เอาประกันภัยสำหรับกรมธรรม์โควิด-19 แบบเจอ-จ่าย-จบ และออกมาตรการผ่อนผันหลักเกณฑ์ด้านเงินกองทุนและสภาพคล่องเพื่อสร้างความยืดหยุ่นให้บริษัทประกันภัย โดยลดภาระด้านการดำรงเงินกองทุนและสำรองประกันภัยอันเกิดจากการรับประกันภัยโควิด-19 รวมถึงเพิ่มทางเลือกในการจัดหาแหล่งเงินทุนและเสริมสภาพคล่อง
ส่วน ก.ล.ต.ได้ออกมาตรการเพื่อช่วยให้ภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 มีทางเลือกในการระดมทุนมากขึ้น โดยออกหลักเกณฑ์กองทุนรวมที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงสูง (high yield bond fund) กองทุนรวมที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้ที่มีปัญหาชำระหนี้คืน (stressed bond fund) และกองทรัสต์ที่มีข้อกำหนดขายคืน (REIT buy-back) เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ภายใต้ความไม่แน่นอนของการระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่และผลกระทบที่อาจมีต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ที่ประชุมเห็นว่า ยังจำเป็นต้องผลักดันให้มาตรการเป็นไปตามเป้าประสงค์ พร้อมกับประเมินความเพียงพอของมาตรการควบคู่กับบริบทการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดยมีปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ความรุนแรงของสายพันธุ์โอมิครอน ประสิทธิภาพของวัคซีน และมาตรการควบคุมการแพร่ระบาด รวมถึงกรณีเลวร้ายที่ต้องกลับไปล็อกดาวน์ เป็นต้น