นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากวิกฤตโควิด-19 ที่เผชิญหน้ามาเป็นเวลาเกือบ 2 ปี ทำให้ ส.อ.ท.มีแนวคิดที่จะจัดงานนิทรรศการและแสดงสินค้า (FTI EXPO) ที่ผลักดันให้มีขึ้นทุกปี โดยเริ่มนำร่องจัดงาน FTI EXPO 2022 ครั้งแรกระหว่างวันที่ 2-6 ก.พ.65 ภายใต้แนวคิด SHAPING FUTURE INDUSTRIES สานพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ขานรับนโยบายเปิดประเทศ เพื่อเป็นกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของประเทศให้พลิกฟื้นกลับมาสู่ภาวะปกติ ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติฯ จังหวัดเชียงใหม่ บนพื้นที่กว่า 3 หมื่นตารางเมตร โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เป็นประธานเปิดงาน
"เชียงใหม่มีความพร้อมและศักยภาพที่จะจัดงานครั้งนี้ หลังจากนั้นจะมีการประเมินผลในการจัดงานครั้งต่อไป โดยจะจัดปีละครั้ง หมุนเวียนไปตามจังหวัดต่างๆ ทั้วประเทศที่มีความพร้อม...รัฐบาลให้ความสำคัญกับการจัดงานครั้งนี้มาก นายกฯ สั่งให้บรรจุไว้ในวาระประชุม ศบศ.ด้วย" นายสุพันธุ์ กล่าว
การจัดงานครั้งนี้จะช่วยเรียกความเชื่อมั่นภาคเศรษฐกิจและภาคประชาชน เพื่อแสดงความพร้อมและศักยภาพของภาคเอกชนที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศว่าจะเป็นไปในทิศทางใด และต้องการให้ภาครัฐส่งเสริมและสนับสนุนอย่างไร ซึ่งมั่นใจว่านักลงทุนต่างชาติที่ชะลอการลงทุนไปในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาจะหันกลับมาลงทุน โดยตั้งเป้ามียอดกระตุ้นเศรษฐกิจภายในงานไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาท
"มีนวัตกรรมหลายอย่างที่คนไทยไม่รู้ว่าเป็นของคนไทย งานนี้อาจจะยิ่งใหญ่กว่าเดิมที่ตั้งใจเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือเท่านั้น เพราะทั่วโลกกำลังให้ความสนใจเรื่อง BCG Economy Model" นายสุพันธุ์ กล่าว
ในระหว่างการจัดงานจะมีการวิสัยทัศน์และนโยบายการขับเคลื่อนไทยสู่อนาคตจากผู้บริหารทั้งภาครัฐและเอกชน ได้แก่ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์, นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม, นายสุพัฒน์พงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พลังงาน นอกจากนี้ยังจะมีการประชุมคณะกรรมการ ส.อ.ท.ทั่วประเทศ และการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) อีกด้วย
นายมนตรี มหาพฤกษ์พงศ์ เลขาธิการ ส.อ.ท.กล่าวว่า ขณะนี้มีผู้แสดงความสนใจที่จะร่วมจัดงานเป็นจำนวนมากจนบู๊ทแสดงสินค้าเกือบไม่เพียงพอ โดยเฉพาะบู๊ทนานาชาติที่หลายประเทศให้ความสนใจตอบรับที่จะมาจัดแสดงสินค้าและเทคโนโลยีเรื่อง BCG ซึ่งจะทำให้มีการถ่ายอดและแลกเปลี่ยนกัน
ตนเองมีความมุ่งหวังว่าควรจะมีมาตรการที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศในปีหน้าให้ขยายตัวได้ไม่น้อยกว่า 4% จากช่วงก่อนเกิดวิกฤตโควิด-19 เพราะประเทศเพื่อนบ้านมีการพัฒนาต่อเนื่อง
"เศรษฐกิจปีหน้าต้องให้โตจากฐานปี 62 อย่างน้อย 4% ไม่ใช่โต 3-4% จากปีนี้ เพราะเพื่อนบ้านพัฒนาไปไกลแล้ว" นายมนตรี กล่าว