นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย เปิดเผยว่า การที่รัฐบาลประกาศความชัดเจนในการจัดกิจกรรมปีใหม่ ภายใต้มาตรการควบคุมที่เหมาะสม เชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และสร้างความเชื่อมั่นส่งต่อไปในปีหน้า ทั้งนี้ ยังมีมาตรการหลายอย่างที่รัฐบาลสามารถมอบให้เป็นของขวัญปีใหม่แก่ประชาชนได้ ซึ่งได้เคยนำเสนอรัฐบาลไปแล้ว เช่น ข้อเสนอด้านการเพิ่มกำลังซื้อ โดยเฉพาะมาตรการคนละครึ่ง ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี และตรงกับความต้องการของประชาชน จึงต้องการให้รัฐบาลต่ออายุมาตรการระยะต่อไปในปีหน้า
ส่วนมาตรการยิ่งใช้ยิ่งได้ที่ออกมาแล้ว ยังมีคนใช้ไม่มากเท่าที่คาดการณ์ไว้ และจะหมดในสิ้นปีนี้ หอการค้าไทยจึงเสนอให้นำ มาตรการช้อปดีมีคืน กลับมาใช้ทันทีไปจนถึงปีใหม่ เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายสำหรับคนที่ยังมีกำลังซื้ออยู่ และช่วยให้ผู้ประกอบการระบายสินค้าจาก Stock ซึ่งจะช่วยสร้างบรรยากาศของเศรษฐกิจให้คึกคักมากขึ้นในช่วงดังกล่าว โดยภาคเอกชนเสนอให้เพิ่มวงเงิน จากเดิมปีที่แล้วให้วงเงิน 30,000 บาท เสนอปรับเป็น 50,000 บาทด้วย คาดว่าจะช่วยให้มีเงินหมุนเวียนในระบบกว่า 50,000 ล้านบาท แม้จะเป็นช่วงสั้น ๆ ก็ตาม
ด้านการท่องเที่ยว สำหรับแพ็คเกจ เราเที่ยวด้วยกัน ที่เพิ่งหมดไป แสดงให้เห็นว่าความเชื่อมั่นเรื่องการเดินทาง และการใช้จ่ายในประเทศได้กลับมาแล้ว จึงขอเสนอให้มีการต่ออายุมาตรการ เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 4 ต่อไป เพื่อเสริมต่อในฤดูท่องเที่ยว และช่วงเวลาที่ยังมีวันหยุด พร้อมกับส่งเสริมผู้ประกอบการในกลุ่มท่องเที่ยวที่บอบช้ำจากการปิดประเทศที่ผ่านมา
ทั้งนี้ หอการค้าไทยได้หารือกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เพื่อให้นำเสนอเรื่องนี้ในที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบศ.) เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ รวมถึงมาตรการที่ส่งเสริมให้เกิดการท่องเที่ยวและประชุมข้ามภาค ซึ่งหอการค้าไทยก็ได้หารือกับสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ หรือ สสปน. (TCEB) ในการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการมีการเดินทางและจับจ่ายใช้สอยด้วย นอกจากนั้น หอการค้าไทยยังเสนอให้มีการลดค่าใช้จ่าย โดยก่อนหน้านี้รัฐบาลได้ประกาศช่วยลดค่าน้ำมันให้แล้ว เพื่อบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งในปี 65 มีแนวโน้มที่อัตราเงินเฟ้อจะสูงขึ้น ส่งผลให้ราคาสินค้ามีแนวโน้มที่สูงขึ้นด้วย ดังนั้น หากรัฐบาลสามารถพิจารณาลดค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคอื่น ๆ ให้กับประชาชนและภาคธุรกิจเพิ่มเติม ก็จะช่วยบรรเทาผลกระทบได้มากขึ้น นายสนั่น กล่าวว่า สำหรับข้อเสนอเพื่อให้ผู้ประกอบการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ส่วนนี้เป็นส่วนที่สำคัญมาก เพื่อให้เศรษฐกิจไทยในปีหน้ากลับมาฟื้นตัว โดยวิกฤตที่ผ่านมา SMEs ได้รับผลกระทบอย่างมากและหลายแห่งยังเข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุน แม้ว่าในปีนี้จะมีมาตรการสินเชื่อฟื้นฟูและมาตรการพักทรัพย์พักหนี้ ออกมาช่วยผู้ประกอบการแล้วก็ตาม แต่ยังมีหลักเกณฑ์หลายเรื่องที่ทำให้ผู้ประกอบการจำนวนมาก ยังไม่สามารถเข้าถึงมาตรการได้ จึงต้องเร่งหาแนวทางปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้มาตรการที่ออกมาตอบโจทย์ความต้องการที่แท้จริง
ทั้งนี้ มาตรการพักทรัพย์พักหนี้ อาจจะต้องพิจารณามาตรการอื่นมาทดแทน เพราะที่ผ่านมายังไม่สามารถช่วยได้จริง ในขณะที่ ธปท.ได้ปลดล็อกหนี้เสียจากโควิด และผ่อนเกณฑ์เครดิตบูโรแล้ว ภาคเอกชนขอให้สถาบันการเงินได้นำมาใช้เป็นแนวทางอย่างจริงจัง โดยให้คำนึงถึงความสามารถในการชำระหนี้แทน มาตรการในลักษณะนี้จะช่วยได้ทั้งผู้ประกอบการ และธนาคารพาณิชย์ที่ไม่ต้องตั้งสำรองหนี้เพิ่มด้วย นอกจากนั้น สิ่งที่ต้องการให้ช่วยเหลืออีกประเด็นหนึ่ง คือ การช่วยค้ำประกันของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ที่ควรลดค่าธรรมเนียม และเพิ่มสัดส่วนการค้ำประกัน เพราะผู้ประกอบการหลายรายไม่มีหลักประกันเพียงพอ
อย่างไรก็ดี เพื่อให้เกิดการฟื้นตัวในระยะยาว รัฐบาลควรเร่งมาตรการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ (Ease of Doing Business) เพราะสถานการณ์เศรษฐกิจทั่วโลกได้เปลี่ยนแปลงบริบทไปแล้ว กฎระเบียบหลายเรื่องอาจไม่ตอบโจทย์รูปแบบการค้าที่เปลี่ยนไป ดังนั้น รัฐบาลควรเน้นทำหน้าที่เป็น Facilitator ให้กับภาคเอกชน เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถทำธุรกิจได้สะดวก รวดเร็วมากขึ้น โดยทั้งหมดนี้ภาครัฐและเอกชนต้องร่วมมือกันอย่างจริงจัง เพื่อเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยให้กลับมาเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป