พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังเป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) โครงการชุมชนซื่อสัตย์ เพื่อพัฒนาสังคมมุสลิม ระหว่างธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) และคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย ว่า การลงนามครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ในการแสดงเจตจำนงในการพัฒนาสังคมมุสลิม ภายใต้การดำเนินงานตามพันธกิจสำคัญในการสร้างโอกาสให้ลูกค้ามุสลิม เข้าถึงระบบสถาบันการเงิน เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของชาวมุสลิม โดยการให้สินเชื่อผ่านตัวแทนของคณะกรรมการมัสยิดทั่วประเทศ
โดยในปี 2564 ธนาคารฯ ได้มีการนำร่องเสนอโครงการให้มัสยิดในภาคกลาง และภาคใต้ ปัจจุบันมีมัสยิดให้การตอบรับเข้าร่วมโครงการดังกล่าวแล้ว 350 แห่ง โดยปี 2565 มีเป้าหมายจะมีมัสยิดเข้าร่วมโครงการทั่วประเทศ รวม 1,000 แห่ง
พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไอแบงก์เป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงการคลัง ได้กำหนดยุทธศาสตร์องค์กรการให้บริการทางการเงินตามหลักศาสนาอิสลาม (หลักซะรีอะฮ์) บนพื้นฐานของคุณธรรม ซึ่งเชื่อมโยงสู่แผนดำเนินงานโครงการชุมชนซื่อสัตย์ เพื่อพัฒนาสังคมมุสลิมเป็นการสร้างโอกาสให้ชาวมุสลิมเข้าถึงการแหล่งเงินทุน เพื่อการยกระดับความเป็นอยู่ที่ดี จึงนับเป็นการสร้างความเสมอภาคและเท่าเทียมกันทางสังคม สร้างความมั่นคงและลดความเหลื่อมล้ำ
"การดำเนินงานครั้งนี้ เป็นไปตามนโยบายที่รัฐบาลได้มุ่งมั่นที่จะสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับประชาชนในทุกภาคส่วน และลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม" พล.อ.ประวิตร กล่าว
นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง กล่าวว่า ที่ผ่านมาไอแบงก์มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมให้กับชาวมุสลิมโดยเฉพาะช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 โดยออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้าเพื่อลดผลกระทบอย่างต่อเนื่อง ทั้งมาตรการปรับโครงสร้างหนี้ มาตรการการให้สินเชื่อเพิ่มเติม ฯลฯ และโครงการชุมชนซื่อสัตย์ จะเข้ามาเสริมสร้างให้ลูกค้าของไอแบงก์เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น
"ด้วยความเคร่งครัดในการปฏิบัติตามคำสอนของศาสนาของชาวไทยมุสลิม ในเรื่องการบริหารจัดการทางการเงิน แต่ด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน ทำให้พี่น้องชาวไทยมุสลิมจำเป็นที่จะต้องได้รับการดูแลให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ และถูกต้องตามข้อปฏิบัติตามหลักศาสนา เพื่อให้ดำเนินธุรกิจและสามารถดำเนินชีวิตเพื่อประกอบอาชีพ และการดูแลครอบครัวต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง" นายสันติ กล่าว