นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการ ธนาคารออมสิน เปิดแผนงานปี 65 ภายใต้จุดยืนธนาคารเพื่อสังคม (Social Bank) ด้วยเป้าหมายลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างการเข้าถึงแหล่งเงินที่เป็นธรรม ซึ่งธนาคารเป็นหน่วยงานหลักในการส่งต่อความช่วยเหลือให้ประชาชนและภาคธุรกิจตามนโยบายรัฐบาล ผ่านโครงการต่าง ๆ โดยธนาคารยึดหลักการดำเนินธุรกิจเพื่อสร้างกำไรในระดับที่เหมาะสม
ธนาคารมุ่งเน้นดำเนินการ 5 ภารกิจที่สำคัญ ประกอบด้วย
1) การสร้างงาน สร้างอาชีพ เพื่อช่วยสร้างทักษะอาชีพ สนับสนุนเงินทุน และช่องทางการสร้างรายได้ ช่วยเหลือประชาชนที่ต้องออกจากการจ้างงานจากวิกฤติโควิด
2) จัดทำโครงการสินเชื่อที่ดินและขายฝาก ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษา และหากได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการฯ จะสามารถเปิดให้บริการได้ในช่วงกลางปี 65 โดยมุ่งน้นสร้างกลไกเพื่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอัตราดอกเบี้ยให้มีความเหมาะสมเป็นธรรมสำหรับลูกค้ากลุ่มฐานราก
3) การพัฒนา Digital Lending ให้สามารถพิจารณาอนุมัติสินเชื่อบนสมาร์ทโฟนด้วยแอป MyMo ให้สมบูรณ์ขึ้นด้วยการวิเคราะห์ข้อมูล Alternative Data Analytic หลังจากในช่วงปีที่ผ่านมาธนาคารสามารถปล่อยสินเชื่อรายย่อยผ่าน MyMo ได้มากกว่า 1.5 ล้านราย วงเงินสินเชื่อรวมกว่า 24,000 ล้านบาท นับว่าธนาคารประสบความสำเร็จสามารถเติมเม็ดเงินช่วยเหลือประชาชนเป็นจำนวนมากด้วยระยะเวลาอันสั้น
4) การออกผลิตภัณฑ์เงินฝากออมสินเพื่อการเกษียณ ซึ่งธนาคารเตรียมยกระดับการส่งเสริมการออมเพื่อการเกษียณ เพื่อให้ประชาชนกลุ่มฐานรากมีความพร้อมเข้าสู่สังคมสูงวัย
และ 5) การขายหรือ โอนหนี้ เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการบริหารจัดการทรัพย์สินของธนาคารได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีมาตรฐานเดียวกันกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจอื่น คาดว่ากฎกระทรวงจะผ่านการพิจารณาและมีผลบังคับภายในปี 65
นายวิทัย กล่าวอีกว่า สำหรับผลการดำเนินงานในปี 64 ธนาคารได้ขับเคลื่อนภารกิจ Social Bank อย่างเต็มกำลังเพื่อช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อย และผู้ประกอบการรายย่อย ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่สร้างความเดือดร้อนรุนแรงทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงการบริหารจัดการเสริมความแข็งแกร่งของธนาคารด้วยในเวลาเดียวกัน โดยเน้นการควบคุมค่าใช้จ่าย สามารถลดต้นทุนการดำเนินธุรกิจได้มากกว่าหมื่นล้านบาท โดยกำไรที่เกิดจากการประหยัดค่าใช้จ่ายได้นำไปสนับสนุนภารกิจเพื่อสังคมตามยุทธศาสตร์ของธนาคาร ซึ่งเป็นตัวเลขกำไรที่อยู่ในระดับใกล้เคียงกับกำไรในปี 62 ที่เป็นช่วงสถานการณ์ปกติก่อนเกิดวิกฤตการแพร่ระบาดโควิด-19
ทั้งนี้ กำไรจากการดำเนินงานในปี 64 ธนาคารได้นำไปช่วยเหลือประชาชนระดับฐานราก ผู้ประกอบการรายย่อย และ SMEs ผ่านมาตรการเยียวยา ฟื้นฟู และเสริมสภาพคล่องอย่างครบวงจรอย่างต่อเนื่องจากปี 63 จนถึงปัจจุบัน รวมแล้วกว่า 36 โครงการ ช่วยเหลือประชาชนได้ถึง 11.6 ล้านคน คิดเป็นเม็ดเงินรวมกว่า 1.8 ล้านล้านบาท และช่วยเหลือประชาชนจำนวนกว่า 2.16 ล้านคน ที่ก่อนหน้านี้ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินในระบบ ให้ได้มีสินเชื่อเป็นครั้งแรก ซึ่งธนาคารได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี
นอกจากนี้ ธนาคารยังสามารถนำส่งรายได้เข้ารัฐได้สูงสุดในรอบ 3 ปีย้อนหลังราว 15,978 ล้านบาท สูงสุดเป็นอันดับ 4 จากรัฐวิสาหกิจ 58 แห่ง ขณะเดียวกัน ผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นและต้นทุนทางธุรกิจที่ลดลงมาก ทำให้ธนาคารสามารถยกระดับความแข็งแกร่งขององค์กร โดยในปีนี้ธนาคารได้ตั้งสำรองทั่วไป (General Provision) ได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 3.65 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 1.65 หมื่นล้านบาทในปี 63 และ 4 พันล้านบาทในปี 62 ซึ่งระดับสำรองดังกล่าวจะสามารถรองรับ NPL ได้มากกว่า 6 หมื่นล้านบาท ช่วยเสริมความแข็งแกร่งในการดำเนินบทบาท Social Bank ต่อไปในอนาคต
ณ เดือน พ.ย.64 ธนาคารมีสินทรัพย์ 2.97 ล้านล้านบาท เงินฝาก 2.55 ล้านล้านบาท สินเชื่อ 2.26 ล้านล้านบาท ระดับ NPLs อยู่ที่ 2.56% และ BIS Ratio อยู่ที่ 15.82%