พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธานพิธีเปิดการประชุมสัมมนาการมอบนโยบายและแนวทางการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2566 ให้แก่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น โดยขอให้ทุกหน่วยรับงบประมาณ จัดทำคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2566 รวมถึงการนำโครงการสำคัญ โดยคิดถึงประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ ทุกภาคส่วนราชการร่วมมือซึ่งกันและกันและต้องทำความเข้าใจกับประชาชน เพราะ การดำเนินงานทุกอย่างเป้าหมายของรัฐบาล คือประชาชน เพื่อประชาชน โดยยึดหลัก ดังนี้
1) น้อมนำแนวทางพระราชดำริ และ "หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" ในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และพระบรมราโชบายของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 รวมทั้งแนวทางของพระบรมวงศานุวงศ์มาประยุกต์ใช้ในโครงการต่าง ๆ ที่เหมาะสม
2) ให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาความยากจนแบบพุ่งเป้า โดยใช้งบประมาณทั้งในส่วนของหน่วยรับงบประมาณที่อยู่ภายใต้แผนงานยุทธศาสตร์และแผนงานพื้นฐาน เช่น การพัฒนาด้านการศึกษา ด้านสาธารณสุข ด้านการเกษตร และแผนงานบูรณาการอื่นที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนการใช้แนวทางเกษตร Sandbox เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในการลดต้นทุนการผลิตตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง ปลายทาง โดยมีเป้าหมายเดียวกัน คือ แก้ไขปัญหาความยากจนให้เกิดผลสำเร็จอย่างจริงจัง โดยเฉพาะเศรษฐกิจฐานรากที่จำต้องพัฒนาควบคู่ไปด้วย
3) บริหารงบประมาณรายจ่ายประจำอย่างประหยัด คุ้มค่า มีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับความจำเป็นในสถานการณ์ปัจจุบัน สร้างการรับรู้ให้กับประชาชนผ่านระบบสารสนเทศ
4) ประเมินผลสำเร็จของการดำเนินงานว่าสามารถส่งผลให้เกิดผลสัมฤทธิ์ตามเป้าหมายที่กำหนดได้มากน้อยเพียงใด
5) เฝ้าระวังผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) และให้ความสำคัญกับกลุ่มเปราะบางจะต้องปรับตัว ใช้ชีวิตอยู่อย่างปลอดภัย
6) ส่งเสริมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
7) จัดทำงบประมาณให้ครอบคลุมทุกแหล่งเงิน การใช้ทรัพยากรของประเทศเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
นายกรัฐมนตรี ระบุว่า การจัดทำคำของบประมาณปี 2566 นั้น ต้องให้ความสำคัญเป็นลำดับแรกกับประเด็นการพัฒนาภายใต้ 13 หมุดหมาย ของ (ร่าง) แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 เพื่อเพิ่มศักยภาพของประเทศในการรับมือกับความเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจส่งผลกระทบที่รุนแรง ควบคู่กับประเด็นการพัฒนาตามแผนย่อยของแผนแม่บทฯ 23 ประเด็น ประเด็นการพัฒนาภายใต้ (ร่าง) นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ และกิจกรรมปฏิรูปตามแผนการปฏิรูปประเทศฯ 13 ด้านที่บรรจุไว้ในยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566 และยุทธศาสตร์การจัดสรรฯ ทั้ง 6 ด้าน คือ
1. ด้านความมั่นคง เน้น การปรับตัวรับมือกับภัยธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
2. ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน ทั้งการเกษตร อุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคต โครงสร้างพื้นฐาน การส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในกระบวนการผลิตและบริการ
3. ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์
4. ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม มุ่งเน้น พัฒนาเศรษฐกิจฐานราก
5. ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เน้นการนำแนวทาง BCG Model การจัดทำ Carbon Footprint และ การเพิ่มรายได้ของชุมชน
6. ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ สนับสนุนการเป็นรัฐบาลดิจิทัล การส่งเสริมการกระจายอำนาจ
นายกรัฐมนรี ยังระบุถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ขณะนี้มีทิศทางดีขึ้นเป็นลำดับ รวมทั้งกระจายการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนมีความคืบหน้า ทำให้ทยอยผ่อนคลายมาตรการในการควบคุมโรคได้ ส่งผลให้เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว โดยเฉพาะในภาคการท่องเที่ยว ธุรกิจค้าส่งและค้าปลีก ธุรกิจบันเทิง และธุรกิจอื่นที่เกี่ยวเนื่อง และในปี 2565 การใช้จ่ายภาครัฐยังคงมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยมีเงินจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี วงเงิน 3.1 ล้านล้านบาท งบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ วงเงิน 3.07 แสนล้านบาท และเงินกู้จากพ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 วงเงิน 5 แสนล้านบาท
อย่างไรก็ดี พ.ร.ก. กู้เงิน 5 แสนล้านบาท จะสิ้นสุดลงในปีงบประมาณ 2565 ดังนั้น การใช้จ่ายภาครัฐผ่านงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566 จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 และแผนต่าง ๆ ให้บรรลุตามเป้าหมายที่กำหนด
"การแพร่ระบาดของโควิด-19 ขอให้รอฟังคำชี้แจงจาก ศบค. และทีมแพทย์ และขอให้ประชาชนระมัดระวังเรื่องสุขภาพ ขณะที่การทำงานของรัฐบาลนั้น จะดูแลเรื่องสุขภาพ และเศรษฐกิจควบคู่กันไป" นายกรัฐมนตรี กล่าว