"สมคิด"เตือนรัฐบาลใหม่ประกาศนโยบายระยะยาวให้ชัดเจนเรียกความเชื่อมั่น

ข่าวเศรษฐกิจ Monday November 19, 2007 17:43 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย กล่าวว่า รัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศต้องประกาศนโยบายระยะยาวที่ชัดเจน เพื่อให้ทราบถึงทิศทางการบริหารราชการแผ่นดิน โดยเฉพาะนโยบายด้านการค้าการลงทุน อีกทั้งมองว่า ควรมีการประกาศ Economic Framework 5 ปีข้างหน้าว่าจะเป็นอย่างไร เพราะเป็นสิ่งที่ต่างชาติจับตาดูอยู่
รวมทั้งผู้นำรัฐบาลใหม่จะต้องมีความเป็นผู้นำสูง กล้าคิด กล้าทำ เช่น การจัดทำงบประมาณแผ่นดินต้องกล้าทำงบขาดดุล และโครงการต่าง ๆ ควรจะลงไปสู่รากหญ้า เนื่องจากจะเกิด turnover เร็ว , โครงการก่อสร้างต่าง ๆ จำเป็นต้องเร่งตัดสินใจและดำเนินการ เพื่อช่วยสร้างรากฐานให้ประเทศ และกระตุ้นเศรษฐกิจ
"เมื่อมีการเลือกตั้งรัฐบาลหน้าไม่ว่าใครเป็นนายกรัฐมนตรี ควรหาคนดีมีความสามารถเข้ามาเป็นรัฐมนตรี เพื่อสร้างความเชื่อมั่น เพราะหากประชาชนมีความเชื่อถือความเชื่อมั่นก็จะกลับมา นี่คือจุดเริ่มต้นที่สำคัญ" นายสมคิด กล่าวในการบรรยายพิเศษเรื่อง"เศรษฐกิจไทยหลังการเลือกตั้ง"
นายสมคิด กล่าวว่า ขณะนี้ประเทศไทยอยู่ในภาวะสูญญากาศ บรรยากาศในประเทศไม่ค่อยดี เนื่องจากประชาชนขาดความเชื่อมั่น ส่งผลให้การบริโภคในประเทศลดลง แต่มีความหวังว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้นหลังการเลือกตั้ง
"วันนี้บรรยากาศในประเทศไม่ค่อยดี ทำให้ทุกคนตั้งความหวังว่าการเลือกตั้งเป็นแสงสว่างและมองว่าการหลังการเลือกตั้งแล้วเศรษฐกิจจะดีขึ้น เนื่องจากตอนนี้ไทยอยู่ในภาวะสูญญากาศ ไม่ทราบทิศทางที่แน่นอนและไม่เห็นการขับเคลื่อนที่จริงจังเศรษฐกิจเองไม่ใช่เรื่องของตัวเลข แต่เป็นเรื่องของคน หากคนมีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจก็สามารถขับเคลื่อนต่อไปได้"นายสมคิด กล่าว
ภาวะเศรษฐกิจในขณะนี้ราคาน้ำมันยังคงมีความผันผวนรวมไปถึงในอนาคตด้วย แต่การที่ราคาน้ำมันแพงขึ้นไม่ต้องมาโทษกันเอง แต่ควรรู้ว่าสาเหตุของปัญหามาจากอะไร ที่ผ่านมาเราขาดความจริงจัง ทำให้ขณะนี้เมื่อมีปัญหาขึ้นมาทำให้ไม่มีพลังงานทดแทนมาใช้ ส่งผลให้ต้นทุนสินค้าและภาวะเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น
นอกจากนี้ สิ่งที่น่าเป็นห่วงอีกประเด็น คือ การส่งออก เพราะที่ผ่านเราไปฝากทุกอย่างไว้ที่การส่งออก จากช่วงก่อนวิกฤตสัดส่วนรายได้จากการส่งออกอยู่ที่ 40%ของ GDP แต่ปัจจุบันเพิ่มขึ้นมาเป็น 60% ของ GDP ถือเป็นการเติบโตที่ผิดปกติ เนื่องจากเครื่องจักรตัวอื่น ๆ ไม่ทำงาน ซึ่งนั่นหมายความว่าทรัพยากรอื่นในประเทศโตตามไม่ทัน และโครงสร้างทางเศรษฐกิจบิดเบี้ยว
"การต้องอาศัยจากภาคการส่งออกเป็นหลัก ทำให้เกิดโครงสร้างที่บิดเบี้ยว และในขณะที่อนาคตสหรัฐที่เป็นตลาดส่งออกหลักกำลังมีปัญหา มีคนมองว่าปีหน้าจะแย่กว่าปีนี้อีก และหากสหรัฐอ่อนลงเราจะทำอย่างไร รวมถึงค่าเงินบาทด้วย ยิ่งส่งออกมาก ดุลการค้า ดุลบชเดินสะพัดเกินดุล ปีหน้าก็คาดว่าบาทจะแข็งต่อเพราะดอลลาร์อ่อน อย่าคาดหวังว่ารัฐจะเข้ามาแทรกแซงให้บาทอ่อน เพราะเป็นไปไม่ได้ ถ้าแทรกแซงไม่ให้ผันผวนหรือแข็งค่าผิดปกติทำได้ แต่ถ้าแข็งเพราะภาวะเศรษฐกิจแข็งแรงเป็นไปไม่ได้" นายสมคิด ระบุ
นายสมคิด กล่าวอีกว่า ตราบใดที่ยังไม่สามารถทำให้เอกชนและประชาชนมั่นใจและเกิดการลงทุนได้ ผู้ประกอบการควรใช้โอกาสที่บาทแข็งให้เป็นประโยชน์ในการลงทุนเพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิต
ในส่วนพ.ร.บ.หรือกฏหมายที่อาจส่งสัญญาณเชิงลบก็ขอให้หยุดไว้ก่อน ให้พยายามประสานพลังภายในประเทศก่อน แล้วความเชื่อมั่นจะกลับมา
ด้านนายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) กล่าวว่า ขณะนี้ส.อ.ท.กำลังเตรียมแผนเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเพื่อเสนอให้รัฐบาลชุดใหม่ โดยจะเน้นเรื่องความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมความคิดเห็นอุตสาหกรรมรายย่อย
นอกจากนี้ สิ่งที่คาดหวังจากรัฐบาลใหม่ คือ ขอให้กล้าตัดสินใจ ขอให้มีการประสานงานกันให้ดี มีธรรมาภิบาล มีความสามัคคี ซึ่งเชื่อว่ารัฐบาลใหม่จะไปได้ดี สร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนและการลงทุน
นายสันติ กล่าวถึงกรณีราคาน้ำมันที่ผันผวนว่า ตอนนี้ที่มีกังวลว่าราคาน้ำมันจะถึง 200 เหรียญสหรัฐ แต่เรื่องดังกล่าวเป็นเพียงสมมติฐาน ซึ่งคงต้องติดตามกันต่อไป อย่างไรก็ตาม ขณะนี้หลายอุตสาหกรรมพยายามหาทางออก โดยการนำเข้าเครื่องจักรประหยัดพลังงานมาใช้

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ