นักวิชาการโภชนาการ แนะประชาชนปรับตัวกับการบริโภคอาหารในยุคที่เนื้อหมูมีราคาแพง โดยสามารถเลือกกินอาหารประเภทอื่นๆได้ อาทิ เนื้อปลา เนื้อไก่ ไข่ ที่เป็นแหล่งโปรตีนชั้นดีไม่แพ้เนื้อหมู หรือแม้แต่ผู้บริโภคกลุ่มมังสวิรัต หรือ คนกินเจ ก็ยังมีธัญพืช ถั่วต่างๆ ที่สามารถกินทดแทนได้ สิ่งสำคัญคือการกินอาหารหลากหลายเพื่อให้ได้สารอาหารครบถ้วน
นายสง่า ดามาพงษ์ นักวิชาการโภชนาการอิสระ ให้ข้อมูลว่า ในสถานการณ์ที่หมูราคาแพงขึ้น ย่อมส่งผลกระทบต่อผู้คนอย่างน้อย 4 กลุ่ม คือ เกษตรกรผู้เลี้ยงหมู พ่อค้าเขียงหมู ผู้จำหน่ายอาหารที่ปรุงจากหมู และผู้บริโภคหมู ในขณะที่รัฐบาลกำลังแก้ปัญหาราคาหมูแพงที่ต้นตอของปัญหาอยู่ขณะนี้ ผู้บริโภคเองก็สามารถช่วยแก้ปัญหาได้ โดยพิจารณาว่าในสถานการณ์เช่นนี้ เราต้องปรับตัวกันอย่างไร เพื่อไม่ให้ซ้ำเติมความเดือดร้อน
การไม่ได้กินเนื้อหมู ไม่ได้ทำให้ขาดสารอาหารใดๆ บางคนที่เสพเนื้อหมูเป็นประจำ อาจเสียความรู้สึกกับอรรถรสการกินไปบ้าง แต่หากเรารู้จักปรับตัวปรับใจ สามารถตัดความรู้สึกติด คุ้นชินกับการกินหมูออกไปได้ แม้ในยามหมูมีราคาแพง อย่างน้อยก็เป็นการประหยัดเงิน ช่วยชาติแก้ปัญหาหมูแพง และสุขภาพยังดีอยู่ ทำให้เกิดประโยชน์หลายทาง
เนื้อหมูเป็นเพียงหนึ่งในอาหารหลากหลายชนิด ที่ให้สารอาหารต่างๆโดยเฉพาะโปรตีน ในปริมาณที่ใกล้เคียงกับอาหารพวกเนื้อสัตว์อื่นๆ รวมทั้งนม ไข่และถั่วเมล็ดแห้ง นักโภชนาการและนักกำหนดอาหารได้ จัดทำรายการอาหารแลกเปลี่ยน (Food Exchange Lists) ขึ้นมา เพื่อให้คนได้กินอาหารที่หลากหลายชนิด โดยนำเอาอาหารที่มีสารอาหารใกล้เคียงกันในแต่ละหมวดหมู่ มาอยู่ในกลุ่มเดียวกัน เพื่อสามารถกินทดแทนกันได้ ส่วนมากจะนำอาหารที่ให้สารอาหาร โปรตีน คาร์โบไฮเดรตและไขมัน มาจัดเป็นหมวดหมู่
นายสง่า แนะนำว่า ให้ฉวยโอกาสช่วงหมูแพง หันมากินอาหารที่หลากหลาย โดยกินอาหารที่สามารถมาทดแทนเนื้อหมูได้ เช่น เนื้อปลา เพราะปลามีคุณค่าทางโภชนาการโดยรวมๆใกล้เคียงกับเนื้อหมู มีโปรตีนคุณภาพ ย่อยง่าย มีไขมันต่ำ แต่เป็นไขมันดีเช่น โอเมก้า 3 อยู่สูง ควรกินทั้งปลาน้ำจืดและปลาทะเลสลับกันไป ตามมาด้วยเนื้อไก่ที่มีไขมันต่ำกว่าเนื้อหมู แต่ให้โปรตีนใกล้เคียงกัน นอกจากนี้ยังมีเนื้อสตว์อื่นๆ อีกมากมาย อาทิ เนื้อวัว เนื้อเป็ด กุ้ง หอย ปู อาหารเหล่านี้จะให้โปรตีนที่ใกล้เคียงกัน คือ ราวๆ 20-30 กรัมต่อน้ำหนัก 100 กรัม
สำหรับคนที่กินมังสวิรัต หรือ คนกินเจ แทบจะไม่เดือดร้อนเลยในภาวะหมูแพง เพราะส่วนใหญ่จะได้โปรตีนจากแหล่งอาหารอื่นที่ไม่ใช่หมู โดยเฉพาะจากถั่วเมล็ดแห้งและผลิตภัณฑ์ ซึ่งจะให้โปรตีนใกล้เคียงกับเนื้อหมู เนื้อสัตว์ต่างๆ แม้จะไม่สมบูรณ์เท่า เพราะขาดกรดอะมิโนที่เป็นส่วนประกอบของโปรตีนบางตัวไปบ้างก็ตาม แต่ถ้าเรากินถั่วเมล็ดแห้งควบคู่กับข้าว งา และธัญญพืชอื่นๆ ก็จะทำให้ได้รับกรดอะมิโนหรือโปรตีนที่สมบูรณ์ก็จะเท่าเทียมกับการกินเนื้อหมูได้
ดังนั้น ในช่วงหมูแพง ถ้าเราจะหันมากินมังสวิรัตหรือเจกันบ้างเป็นบางมื้อบางวัน ก็จะทำให้ได้รับประโยชน์จากการกินอาหารทดแทนเนื้อหมูได้ แต่ขอแนะนำให้กินมังสะวิรัตแบบกินไข่และดื่มนมควบคู่กันไป เพื่อให้ได้รับสารอาหารที่สมบูรณ์ โดยเฉพาะ วิตามิน บี12 ธาตุเหล็ก และ แคลเซี่ยม
นายสง่า กล่าวอีกว่า ช่วงหมูแพง เราแกล้งเบื่อหมูกันดีไหม? โดยสั่งซื้อหรือปรุงประกอบอาหารแบบไม่ง้อหมู อาทิ ผัดกระเพราไก่ หรือกระเพราปลา ก๋วยเตี๋ยวไก่/ปลา/เป็ด ราดหน้าหรือผัดซีอิ้วไก่ ลาบไก่/ปลา ลาบเต้าหู้ แกงจืดเต้าหู้ ปลาเผา ต้มยำปลา/กุ้ง/ไก่ ปลา/ไก่ทอดกระเทียมพริกไทย ผัดผักรวมใส่ไก่/กุ้ง/ปลา เป็นต้น ขณะเดียวกัน เพื่อเป็นการเสริมอาหารโปรตีนช่วงหมูแพง เราควรเพิ่มการบริโภคไข่ไก่ ไข่เป็ด และดื่มนมให้มากขึ้นตามความเหมาะสมของแต่ละช่วงวัยและสุขภาพของแต่ละคน
"เราควรปรับพฤติกรรมการกิน การปรุงประกอบอาหาร ให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อความอยู่รอดอย่างมีความสุข ในช่วงภาวะหมูขึ้นราคาเช่นนี้ โดยการตั้งสติยอมรับความจริง แล้วหาทางออกที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นให้ได้ เมื่อคนไทยส่วนมากทำได้ ผลประโยชน์ที่ตามมาคงไม่ใช่เพียงแค่จะทำให้เราไม่ต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายซื้อหมูแพงเท่านั้น แต่สุขภาพจิตสุขภาพกายเราก็ยังคงเป็นปกติดีเช่นเดิม คนที่ไม่ปรับตัวในยามหมูแพง หากหมูพูดได้มันก็จะออกมาเยาะเย้ยว่า? "ขาดฉันแล้วเธอจะรู้สึก" ในทางตรงกันข้าม ใครที่สามารถนำข้อแนะนำเหล่านี้ไปปฏิบัติได้ คนเหล่านั้นจะเป็นผู้ "ฉลาดรอบรู้ เมื่อหมูแพง" และพูดกับหมูได้เต็มปากว่า? "แม้ขาดหมู ฉันก็ไม่รู้สึก""