นายนราพัฒน์ แก้วทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานกรรมการส่งเสริมการใช้ปัจจัยการผลิตที่เหมาะสมเพื่อลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร เมื่อวันที่ 13 ม.ค.ที่ผ่านมาว่า ในปี 64 ประเทศไทยมีปริมาณและมูลค่าการนำเข้าปุ๋ยเคมีเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับปี 63 โดยราคาปุ๋ยในประเทศมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นตามราคาแม่ปุ๋ยในตลาดโลก เนื่องจากจีนซึ่งเป็นประเทศผู้ส่งออกปุ๋ยสำคัญจำกัดการส่งออก ส่งผลให้วัตถุดิบหรือแม่ปุ๋ยในตลาดโลกขาดแคลน ประกอบกับผลกระทบต่อเนื่องจากการระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลต่อระบบโลจิสติกส์และค่าขนส่งที่สูงขึ้น
ดังนั้น คณะกรรมการส่งเสริมการใช้ปัจจัยการผลิตที่เหมาะสม เพื่อลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร ได้พิจารณาแนวทางการแก้ปัญหาปุ๋ยราคาสูง และไม่มีเสถียรภาพภายใต้แผนการบริหารจัดการปุ๋ยปี 65-69 เสนอโดยกรมส่งเสริมการเกษตร ซึ่งมีแผนดำเนินการแก้ไขปัญหาด้วยการวางมาตรการระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาวให้มีความต่อเนื่อง มีเป้าหมายเพื่อให้เกษตรกรเข้าถึงปุ๋ยที่มีคุณภาพเพียงพอ ทั่วถึง และใช้ปุ๋ยอย่างมีประสิทธิภาพสูง เพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิต ลดการนำเข้าปุ๋ยเคมีจากต่างประเทศ ภาคเกษตรไทยมีเสถียรภาพและมีความมั่นคงทางอาหาร
สำหรับมาตรการแก้ไขปัญหาระยะสั้น เช่น โครงการบริหารจัดการปุ๋ยเคมี เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร โครงการพัฒนาธุรกิจดินและปุ๋ยเพื่อชุมชน (One Stop Service) โครงการสินเชื่อธุรกิจชุมชนสร้างไทยของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร โครงการลดราคาปุ๋ย (ความร่วมมือระหว่างกระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงพาณิชย์) การส่งเสริมการใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน และการส่งเสริมการใช้ปุ๋ยทางเลือก เช่น ปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยชีวภาพ
ส่วนมาตรการแก้ไขปัญหาระยะกลาง ได้แก่ การส่งเสริมอุตสาหกรรมการผลิตปุ๋ยโพแทชภายในประเทศ รวมถึงการเจรจาแลกเปลี่ยนแม่ปุ๋ยกับประเทศมาเลเซีย และอื่นๆ ในส่วนของมาตรการแก้ไขปัญหาระยะยาว เช่น การจัดตั้งกองทุนรักษาเสถียรภาพราคาปุ๋ย การเจรจาการกำหนดราคาแม่ปุ๋ยไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม ร่วมกับประเทศมาเลเซีย และจีน ในฐานะผู้ผลิตแม่ปุ๋ยหลักในภูมิภาค
ทั้งนี้ จะมีการนำเสนอมาตรการแก้ไขปัญหาปุ๋ยราคาสูง และไม่มีเสถียรภาพขึ้นหารือในระดับกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีระหว่างกระทรวงที่เกี่ยวข้อง เพื่อเสนอแผนการดำเนินงานทั้งระบบ ซึ่งจะนำไปสู่การดำเนินการร่วมกันต่อไป
นอกจากนี้ ยังได้มีการติดตามผลการดำเนินงานโครงการพัฒนาเกษตรแม่นยำสูงสุ่ธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรม ซึ่งในระยะที่ 1 มีสินค้ายางพารา ปาล์มน้ำมัน อ้อยโรงงาน และมะเขือเทศ มีกลุ่มเกษตรกรแปลงใหญ่เข้าร่วม 56 แปลง ในพื้นที่ 49,102 ไร่ เกษตรกร 2,457 ราย
ในขณะเดียวกัน อยู่ระหว่างขยายการดำเนินการในระยะที่ 2 ในสินค้า 8 ชนิด ได้แก่ พืชผัก ข้าว มันสำปะหลัง อ้อยโรงงาน ถั่วเหลือง ยางพารา และปาล์มน้ำมัน โดยมีบริษัทรับซื้อที่เข้าร่วมโครงการเพิ่มเติมอีก 18 บริษัท มีแผนดำเนินการในพื้นที่ 1.9 ล้านไร่ คาดว่าจะมีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการประมาณ 120,000 ราย