นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ "แรงขับเคลื่อนประเทศไทยในศักราชใหม่ 2022" ในงานสัมมนา ศักราชใหม่?ความหวัง (หรือแค่ฝัน) ประเทศไทย 2022 ว่า คาดการณ์เศรษฐกิจไทย (จีดีพี) ในปี 65 จะขยายตัวได้ที่ระดับ 3.5-4.5% เพิ่มขึ้นจากปี 64 ที่จีดีพีขยายตัวได้ประมาณ 1% โดยสิ่งที่เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ ได้แก่ ภาคการส่งออกที่ยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง จากปีที่ผ่านมาที่คาดว่าจะขยายตัวได้ถึง 15-16% ซึ่งจะส่งผลดีไปยังการลงทุนภาคเอกชน และการผลิตในภาคอุตสาหกรรมด้วย
นอกจากนี้ ภาคการท่องเที่ยวที่คาดว่าจะทยอยฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง จะส่งผลดีกับธุรกิจโรงแรมและที่เกี่ยวเนื่องกับภาคการท่องเที่ยว ซึ่งจะเชื่อมโยงไปยังแรงงานในภาคดังกล่าวให้มีรายได้เพิ่มขึ้น และเม็ดเงินลงทุนจากภาครัฐ รวมกว่า 1.9 ล้านล้านบาท จากงบลงทุนปีงบประมาณ 65 วงเงิน 6 แสนล้านบาท งบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ 3 แสนล้านบาท และเม็ดเงินจากการให้สัมปทานในโครงการอีอีซี อาทิ โครงการก่อสร้างสนามบิน โครงการก่อสร้างท่าเรือ เป็นต้น วงเงินราว 1 ล้านล้านบาท จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปีนี้
สำหรับในปี 65 มีความท้าทาย ได้แก่ 1. การคงอยู่ของโควิด-19 โดยเฉพาะบทบาทของสายพันธุ์โอมิครอน ที่ยังไม่สามารถประเมินได้ว่าจะระบาดนานแค่ไหน แต่หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าได้ส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจอย่างแน่นอน แต่หากรัฐบาลเร่งดำเนินมาตรการเข้มงวดในการควบคุมการแพร่ระบาดโดยจำกัดพื้นที่การระบาดได้ เชื่อว่าสถานการณ์น่าจะดีขึ้น และคลี่คลายไปได้ ควบคู่ไปกับการเร่งฉีดวัคซีนอย่างต่อเนื่อง 2. การขาดแคลนแรงงาน ที่คาดว่าอาจจะเห็นได้ชัดเจนในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ โดยเฉพาะในภาคการผลิตและภาคการท่องเที่ยว และ 3. ปัญหาอัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งคาดว่าจะเป็นสถานการณ์ชั่วคราวในช่วงครึ่งปีแรกเท่านั้น จากราคาอาหารและราคาพลังงานที่ปรับเพิ่มสูงขึ้น
"จีดีพีไทยปีที่แล้ว ที่ประเมินว่าจะโต 1% อาจจะต่ำกว่าที่คาด เพราะโควิด-19 ไม่ได้หายไปทั้งหมด ยังวนเวียนกลับมารอบ 3-4-5 ซึ่งรัฐบาลพยายามเร่งควบคุมปัญหาดังกล่าวอยู่ ส่วนสถานการณ์อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นนั้น เชื่อว่าจะเป็นเรื่องชั่วคราว โดยในปีนี้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อของไทยอยู่ที่ 1-3% เป็นเรื่องที่คลังและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ต้องร่วมมือกันดูไม่ให้อัตราเงินเฟ้อเกิน 3% บางช่วงอาจจะอยู่เกือบ 3% หรือเกินไปบ้าง ยังไม่สามารถทราบแน่ชัด ขึ้นอยู่กับการกำกับดูแลราคาอาหาร แต่ยืนยันจะดูแลให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ในกรอบที่กำหนด ส่วนราคาพลังงานที่ปรับเพิ่มขึ้นนั้น มีกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงดูแลรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันอยู่ โดยเฉพาะดีเซลซึ่งมีผลต่อภาคขนส่ง ตามนโยบายคือ ควบคุมราคาไม่ให้เกิน 30 บาท/ลิตร และจะใช้กลไกของกองทุนน้ำมันฯ เข้ามาตรึงราคาดีเซลต่อไป" นายอาคม กล่าว
ส่วนการรักษาระดับการบริโภคภาคประชาชนนั้น รัฐบาลได้ดำเนินมาตรการคนละครึ่ง เพื่อช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชน ซึ่งเป็นมาตรการที่ดำเนินมาแล้ว 3 ระยะ และกำลังจะเริ่มระยะที่ 4 โดยมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องเริ่มเร็วขึ้น จากเดิมกำหนดวันที่ 1 มี.ค.-30 เม.ย. 65 เป็นวันที่ 14 ก.พ.นี้จะเปิดให้มีการลงทะเบียน และวันที่ 21 ก.พ. 65 เริ่มใช้จ่าย เพื่อรักษาระดับการบริโภคภาคประชาชน
รมว.คลัง กล่าวว่า ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา (63-64) ข้อมูลของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ระบุว่า จากการระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจอย่างหนักหน่วง ทำให้หลายประเทศมีการใช้นโยบายการคลังในการพยุงเศรษฐกิจมากถึง 14% ของจีดีพี และมาตรการกึ่งการคลัง 4% ของจีดีพี โดยในส่วนของไทยเอง มาตรการด้านการคลังที่รัฐบาลได้ดำเนินการ คือการเน้นการหาทรัพยากรเพิ่ม โดยการออก พ.ร.ก. กู้เงินสำคัญ 2 ฉบับ รวม 1.5 ล้านล้านบาท เพื่อช่วยชดเชยรายได้ให้ประชาชนที่หายไปในช่วงที่ขาดรายได้ ธุรกิจหยุดชะงักจากมาตรการล็อกดาวน์ และการประกาศเคอร์ฟิว ซึ่งดำเนินการเหมือนกันเกือบทุกประเทศ เพราะเป็นเรื่องจำเป็น โดยดำเนินการผ่านมาตรการสำคัญ ๆ อาทิ "เราไม่ทิ้งกัน" เป็นต้น และมาตรการด้านการด้านสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และการรักษาเสถียรภาพตลาดทุน รวมถึงมาตรการด้านการเงินของสถาบันการเงิน ทั้งการพักชำระหนี้ ยืดเวลาการชำระหนี้ และการปรับโครงสร้างหนี้ เป็นต้น
ทั้งนี้ เนื่องจากรัฐบาลมีการกู้เงิน 1.5 ล้านล้านบาท ทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น ส่งผลให้หลายฝ่ายกังวลว่าหนี้จะเกินกรอบเพดานการก่อหนี้ที่ 60% ของจีดีพี ดังนั้นรัฐบาลจึงได้ขยายเพดานหนี้สาธารณะจาก 60% เป็น 70% ของจีดีพี เพื่อให้มีพื้นที่ทางการคลังในกรณีหากรัฐบาลมีความจำเป็นต้องใช้เงินกู้ ก็สามารถกู้เพิ่มได้อีก 10% ของจีดีพี เป็นการเตรียมการณ์ไว้ในกรณีที่มีความจำเป็นในอนาคตเท่านั้น
"ไม่ได้หมายความว่า เมื่อขยายกรอบเพดานหนี้สาธารณะแล้ว รัฐบาลจะต้องกู้เงินให้ครบ 70% ยืนยันว่าภาคการคลังของไทยยังมีความแข็งแกร่ง เข้มแข็ง กรณีหากเกิดวิกฤติ ภาครัฐก็มีความพร้อมในการเข้ามาให้การสนับสนุน ช่วยเหลือ และพยุงเศรษฐกิจได้" นายอาคมกล่าว
ขณะเดียวกัน ในภาคการท่องเที่ยว ซึ่งมีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 12% ของจีดีพีนั้น ก็ได้มีการเร่งออกมาตรการต่าง ๆ โดยเฉพาะการเปิดประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 2564 เพื่อรักษาไม่ให้ต้นทุนทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น ซึ่งก็มีมาตรการเพื่อควบคุม อาทิ มาตรการ Test&Go และ มาตรการ Thailand Pass แต่ก็ต้องระงับไว้ชั่วคราวหลังจากมีการระบาดของสายพันธุ์โอมิครอน แต่ล่าสุด ที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) มีมติให้นำเรื่อง Test&Go กลับมาใช้อีกครั้ง ซึ่งตรงนี้จะเป็นประเด็นสำคัญให้ไทยเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้
"รัฐบาลต้องคิดอยู่เสมอว่า จะทำอย่างไรให้การเปิดประเทศให้ระบบเศรษฐกิจ เดินไปได้ควบคู่กับการป้องกันการระบาด ซึ่งหลังจากดำเนินการเปิดประเทศในวันที่ 1 พ.ย. 2564 ดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจหลายตัวก็ปรับดีขึ้นเป็นลำดับ รัฐบาลไม่ได้ให้ความสำคัญแค่การท่องเที่ยวของต่างชาติเท่านั้น แต่การท่องเที่ยวภายในประเทศก็สำคัญ ไม่ได้มีการปิดกัน และมีมาตรการเสริม ผ่านเราเที่ยวด้วยกัน ควบคู่กับมาตรการรักษาระดับการบริโภคภายในประเทศ แม้ว่าอาจจะไม่ได้ช่วยให้การบริโภคในประเทศกลับมา 100% แต่ก็ช่วยได้ในระดับหนึ่ง" รมว.คลัง กล่าว
พร้อมมองว่า แรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยที่สำคัญในระยะต่อไป คือการส่งเสริมเรื่องดิจิทัล อีโคโนมี ซึ่งจะมีส่วนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เร็วขึ้น ผ่านการสนับสนุนสตาร์ทอัพ ดิจิทัล และธุรกิจแพลตฟอร์มต่าง ๆ ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลได้มีการพูดคุยกับบริษัทยักษ์ใหญ่ในการเข้ามาลงทุนให้บริการดาต้า เซ็นเตอร์ เพื่อสร้างให้ไทยเป็นศูนย์กลางดาต้า เซ็นเตอร์ของภูมิภาค รวมถึงการให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และนโยบายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ผ่านนโยบายการสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ในปีนี้จะมีมาตรการส่งเสริมการลงทุน และมาตรการด้านภาษีออกมา รวมไปถึงการให้ความสำคัญกับธุรกิจด้านการแพทย์และสาธารณะสุข โดยเฉพาะการดูแลผู้สูงอายุ จะเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจสำคัญของไทยในระยะต่อไป
"ที่ถามกันว่า ปีนี้จะเป็นปีแห่งความหวัง หรือความฝันนั้น จริง ๆ แล้วก็อยากให้เป็นเรื่องของความหวัง เพื่อที่จะได้มีแรงขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจไทยโตได้ในระดับ 3.5-4.5% นั่นเป็นสิ่งที่รัฐบาลมีความตั้งใจในการดูแลเศรษฐกิจ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาวต่อไป" รมว.คลังระบุ