นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพสามิต ระบุว่า การจะตัดสินใจปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อตรึงราคาขายปลีกดีเซลให้ไม่เกิน 30 บาท/ลิตรนั้น เป็นหน้าที่ของฝ่ายนโยบายเป็นผู้พิจารณาและตัดสินใจ ซึ่งหากปรับลดแล้วจะต้องคำนึงถึงรายได้ที่จะเข้ามาชดเชยภาษีสรรพสามิตน้ำมันที่ลดลงไปด้วย
โดยจากการหารือก่อนหน้านี้ มีข้อสรุปว่าจะใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดูแลเรื่องสถานการณ์ราคาน้ำมันแพงไปก่อน และคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงกู้เงินเพิ่มเติมได้ 2 หมื่นล้านบาท บวกกับอีก 1 หมื่นล้านบาท เพื่อดูแลราคาน้ำมันที่แพงขึ้น
"ตอนนี้เป็นเรื่องของฝั่งนโยบายที่จะต้องหารือ ดูข้อเท็จจริงภาพรวมทั้งหมดว่ากองทุนน้ำมันมีฐานะดูแลราคาน้ำมันไปได้นานขนาดไหน และหลังจากนั้นจะดำเนินการอะไรต่อ หากจะลดภาษีน้ำมัน ก็ต้องดูเรื่องรายได้ที่จะมาชดเชยจากภาษีน้ำมันที่หายไปด้วย เพื่อไม่ให้กระทบกับรายได้รวมของประเทศในปีงบประมาณ 2565" อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าว